๑.ธัมมาธิฏฐานา ธัมมเทศนา
-การแสดงธรรมมีธรรมเป็นที่ตั้ง
๒.ธัมมาธิฏฐานา ปุคคลเทศนา
-การแสดงบุคคลมีธรรมเป็นที่ตั้ง
๓.ปุคคลธิฏฐานา ปุคคลเทศนา
-การแสดงบุคคลมีบุคคลเป็นที่ตั้ง
๔.ปุคคลธิฏฐานา ธัมมเทศนา
-การแสดงธรรมมีบุคคลเป็นที่ตั้ง
สมมติเทศนา และ ปรมัตถเทศนา
สมมติเทศนา มีลักษณะเป็นอย่างนี้ คือ ” บุคคล, สัตว์, หญิง, ชาย, กษัตริย์,.พราหมณ์, เทวดา, และมาร ” เป็นต้น
ปรมัตถเทศนา มีลักษณะเป็นอย่างนี้ คือ ” อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา, ขันธ์, ธาตุ, อายตนะ, สติปัฏฐาน ” เป็นต้น
ในบรรดาเทศนา 2 อย่างนี้ ชนเหล่าใดได้ฟังเทศนาโดยอาศัยสมมติแล้วแทงตลอดเนื้อความได้ สามารถที่จะละโมหะ
บรรลุคุณวิเศษได้ พระผู้มีพระภาคก็แสดงสมมติเทศนาแก่ชนเหล่านั้น
บรรดาผู้กล่าวกถาทั้งหลาย พระสัมพุทธะผู้ประเสริฐได้ตรัสบอกแล้วซึ่งสัจจะ ๒ คือสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ไม่ตรัสบอกสัจจะที่ ๓ ว่าเป็นสภาวะที่หยั่งเห็นได้.
บรรดาสัจจะทั้ง ๒ เหล่านั้น สมมติสัจจะเป็นคำสำหรับกำหนดและเป็นเหตุแห่งการสมมติของชาวโลก ส่วนปรมัตถสัจจะเป็นคำปรมัตถะเป็นลักษณะแห่งธรรมทั้งหลาย.
อีกนัยหนึ่ง เทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้ามี ๒ คือเป็นปรมัตถเทศนาด้วยสามารถแห่งคำว่า ขันธ์ เป็นต้น และเป็นสมมติเทศนาด้วยคำว่า หม้อเนยใสเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงชำระคำบัญญัติออกไปเหตุใด เพราะเหตุนั้นบัณฑิตไม่พึงทำความยึดถือคำเพียงสักว่า บุคคลมีอยู่.
จริงอยู่ พระบรมศาสดามิได้ทรงละบัญญัติแล้วประกาศปรมัตถะ และมิได้ทรงชำระคำบัญญัติ เพราะฉะนั้น บัณฑิตแม้อื่นๆ เมื่อประกาศปรมัตถะก็ไม่พึงชำระคำบัญญัติ ฉันนั้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น