ิิblogspot

นมตฺถุ รตฺตนตฺต ยสฺส ขอถวายความนอบน้อมเเด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม เเละ พระสงฆ์ - โพชฌังโคสะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะตะถาปะเร สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเต เต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯเอกัสะมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิสะวา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ เต จะ ตัง อะภินันทิตะวาโรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตะวานะ สาทะรัง สัมโมทิตะวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562



สัพพะพุทธานุภาเวนะ          ด้วยอานุภาพ  แห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง
สัพพะธัมมานุภาเวนะ          ด้วยอานุภาพ แห่งพระธรรมทั้งปวง
สัพพะสังฆานุภาเวนะ          ด้วยอานุภาพ แห่งพระสงฆ์ทั้งปวง
พุทธะระตะนัง   ธัมมะระตะนัง   สังฆะระตะนัง   ติณณัง  ระตะนานัง  อานุภาเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่ง  รัตนะ คือ พุทธรัตนะ  ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
จะตุราสีติสะหัสสะธัมมักขันธานุภาเวนะ 
 ด้วยอานุภาพ  แห่งพระธรรมขันธ์ หมื่น พัน
ปิฏะกัตตะยานุภาเวนะ    ด้วยอานุภาพ  แห่งพระไตรปิฏก     
ชินะสาวะกานุภาเวนะ     ด้วยอานุภาพ  แห่งพระสาวกของพระชินเจ้า
สัพเพ  เต  โรคา                     สรรพโรคทั้งหลายของท่าน
สัพเพ  เต  ภะยา                    สรรพภัยทั้งหลายของท่าน
สัพเพ  เต  อันตะรายา            สรรพอันตรายทั้งหลายของท่าน
สัพเพ  เต  อุปัททะวา             สรรพอุปัทวะทั้งหลายของท่าน
สัพเพ  เต  ทุนนิมิตตา            สรรพนิมิตร้ายทั้งหลายของท่าน
สัพเพ  เต  อะวะมังคะลา        สรรพอวมงคลทั้งหลายของท่าน
วินัสสันตุ                         จงพินาศไป
อายุวัฑฒะโก                  ความเจริญอายุ
ธะนะวัฑฒะโก                ความเจริญทรัพย์
สิริวัฑฒะโก                     ความเจริญสิริ
ยะสะวัฑฒะโก                 ความเจริญยศ
พะละวัฑฒะโก                 ความเจริญกำลัง
วัณณะวัฑฒะโก               ความเจริญวรรณะ
สุขะวัฑฒะโก                   ความเจริญสุข
โหตุ  สัพพะทา                  จงมีแก่ท่านในกาลทั้งปวง
ทุกขะโรคะภะยา  เวรา                 ทุกข์โรคภัย และเวรทั้งปวง
โสกา  สัตตุ  จุปัททะวา                 ความโศก ศัตรูและอุปัทวะทั้งหลาย
อะเนกา  อันตะรายาปิ                 ทั้งอันตรายทั้งหลายเป็นเอนก
วินัสสันตุ  จะ  เตชะสา                 จงพินาศไปด้วยเดช
ชะยะสิทธิ  ธะนัง  ลาภัง               ความชนะ ความสำเร็จ ทรัพย์ ลาภ
โสตถิ  ภาคะยัง  สุขัง  พะลัง    ความสวัสดี ความมีโชค ความสุข กำลัง
สิริ  อายุ  จะ  วัณโณ  จะ              สิริ อายุ และ วรรณะ
โภคัง วุฑฒี  จะ  ยะสะวา    โภคะ ความเจริญ และความเป็นผู้มียศ
สะตะวัสสา  จะ  อายู  จะ                และอายุยืน ๑๐๐ปี
ชีวะสิทธี  ภะวันตุ  เต ฯ                   และความสำเร็จกิจในความเป็นอยู่
                                                     จงมีแก่ท่านในกาลทุกเมื่อเทอญ.

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562

สทฺธมฺโม ครุกาตพฺโพ

กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา






๑.ศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ให้สมกับเป็นพุทธบุตรในพระพุทธศาสนา
๒.รักษาขนบธรรมเนียมอันดีงามที่บรรพชนรุ่นก่อนได้ทำไว้อันเป็นประโยชน์เเก่ตนเเละส่วนร่วม
๓.เชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดาครูอาจารย์ให้ความเคารพรักในท่านผู้ทำอุปการะก่อน
๔.มีวาจาสุภาพออ่อนหวานเว้นจากวจีทุจริต๔มีปิยวาจาอันเป็นหนึ่งในสังคหวัตถุ๔
๕.กตัญูญรู้คุณเเก่ผู้มีอุปการะคุณเมื่อได้ดีควรตอบเเทนบุญคุณท่านด้วยอามิส ด้วยกำลังกาย
๖.รู้หน้าที่ของคนว่าเป็นนักเรียนควรตั้งศึกษาเล่าเรียนให้บรรลุเป้าหมายของตน
๗.ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญในศาสตร์ที่ตนรักมีความเพี่ยรพยายามในสิ่งนั้น
๘.รู้จักใช้จ่ายไม่ฟุ้มเฟิ่อยในสิ่งไม่ใช่ประโยชน์เก็บหอมรอมริบตามกำลังของตนของตน
๙.มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองเเละผู้อื่นมีน้ำใจนักกีฬารู้เเพ้รู้ชนะรู้อภัย
๑๐.ทำตนให้เป็นประโยชน์อายชั่วกลัวบาป สร้างประโยชน์เเก่ตนครอบครัวประเทศชาติ




วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2562

กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา


๑.ธัมมาธิฏฐานา ธัมมเทศนา
-การแสดงธรรมมีธรรมเป็นที่ตั้ง
๒.ธัมมาธิฏฐานา ปุคคลเทศนา
-การแสดงบุคคลมีธรรมเป็นที่ตั้ง
๓.ปุคคลธิฏฐานา ปุคคลเทศนา
-การแสดงบุคคลมีบุคคลเป็นที่ตั้ง
๔.ปุคคลธิฏฐานา ธัมมเทศนา
-การแสดงธรรมมีบุคคลเป็นที่ตั้ง
สมมติเทศนา และ ปรมัตถเทศนา

สมมติเทศนา มีลักษณะเป็นอย่างนี้ คือ ” บุคคล, สัตว์, หญิง, ชาย, กษัตริย์,.พราหมณ์, เทวดา, และมาร ” เป็นต้น
ปรมัตถเทศนา มีลักษณะเป็นอย่างนี้ คือ ” อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา, ขันธ์, ธาตุ, อายตนะ, สติปัฏฐาน ” เป็นต้น
ในบรรดาเทศนา 2 อย่างนี้ ชนเหล่าใดได้ฟังเทศนาโดยอาศัยสมมติแล้วแทงตลอดเนื้อความได้ สามารถที่จะละโมหะ
บรรลุคุณวิเศษได้ พระผู้มีพระภาคก็แสดงสมมติเทศนาแก่ชนเหล่านั้น
บรรดาผู้กล่าวกถาทั้งหลาย พระสัมพุทธะผู้ประเสริฐได้ตรัสบอกแล้วซึ่งสัจจะ ๒ คือสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ไม่ตรัสบอกสัจจะที่ ๓ ว่าเป็นสภาวะที่หยั่งเห็นได้.
               บรรดาสัจจะทั้ง ๒ เหล่านั้น สมมติสัจจะเป็นคำสำหรับกำหนดและเป็นเหตุแห่งการสมมติของชาวโลก ส่วนปรมัตถสัจจะเป็นคำปรมัตถะเป็นลักษณะแห่งธรรมทั้งหลาย.
               อีกนัยหนึ่ง เทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้ามี ๒ คือเป็นปรมัตถเทศนาด้วยสามารถแห่งคำว่า ขันธ์ เป็นต้น และเป็นสมมติเทศนาด้วยคำว่า หม้อเนยใสเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงชำระคำบัญญัติออกไปเหตุใด เพราะเหตุนั้นบัณฑิตไม่พึงทำความยึดถือคำเพียงสักว่า บุคคลมีอยู่.
               จริงอยู่ พระบรมศาสดามิได้ทรงละบัญญัติแล้วประกาศปรมัตถะ และมิได้ทรงชำระคำบัญญัติ เพราะฉะนั้น บัณฑิตแม้อื่นๆ เมื่อประกาศปรมัตถะก็ไม่พึงชำระคำบัญญัติ ฉันนั้น.

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ปฏิบัติธรรมเข้ากัมมัฏฐาน

โครงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จิตตภาวนาของภิกษุสามเณร มจร.อุบลราชธานีโดยนิสิตมหานิกายเเละธรรมยุติ ระหว่างวันที่๑๕-๒๔ธันวาคมเเละถวายเป็นพระราชกุศลเเก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูรเเละเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่โดยศรัทธาญาติโยมผู้มีจิตเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาให้การอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่ชาวพุทธโดยความร่วมมือของพระวิปัสนาจารย์ครูอาจารย์ทั้งฝ่ายบรรพชิตเเละคฤหัถส์นิสิตจิตอาสา สนับบสนุนเป็นประจำทุกปีโดยมีวัตรปฏิบัตติตามเเนววิปัสสนาญาณ๑๖อันได้เเก่
นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความแยกขาดจากกันของนามธรรมและรูปธรรม ที่ละอารมณ์โดยสภาพความเป็นอนัตตา  
จากดงบั้งไฟสู่สถานที่ศึกษาเเละปฏิบัติธรรม
๒. ปัจจยปริคคหญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความเป็นปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม คือ รู้ชัดว่านามรูปแต่ละอย่างมีปัจจัยเป็นเหตุให้เกิด  
๓. สัมมสนญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับสืบต่อของนามธรรมรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นโทษของการเกิดดับได้ไม่ชัดเจน  
๔. อุทยัพพยญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับของนามธรรมรูปธรรมอย่างละเอียด เป็นวิปัสสนาที่มีกำลัง เห็นโทษของการเกิดดับของสภาพธรรมได้ยิ่งขึ้น  
๕. ภังคานุปัสสนาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความดับทำลายของนามรูป โดยไม่ใฝ่ใจถึงการเกิด  ๖. ภยตุปัฎฐานญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งนามรูป โดยเห็นความเป็นภัยในสังขารทั้งหลาย  
๗. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งรูป โดยเห็นความเป็นโทษในสังขารทั้งหลาย  
๘. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งนามรูปโดยเห็นทุกข์โทษภัย จนเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารธรรมทั้งปวง  
๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งนามรูปโดยความที่ใคร่จะพ้นจากสังขารธรรมทั้งปวง  ๑๐. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะทั้ง ๓ ของนามรูป เป็นเหตุที่จะเปลื้องตนให้พ้นจากสังขารธรรม  
๑๑. สังขารุเบกขาญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะทั้ง ๓ ของนามรูปที่คมกล้ายิ่งขึ้น จนเกิดความมัธยัสถ์ วางเฉยในสังขารธรรมทั้งปวง  
๑๒. อนุโลมญาณ ปัญญาในอนุโลมชวนะ ๓ ขณะในมัคควิถี (บริกรรม อุปจาร อนุโลม) คล้อยตามเพื่อการบรรลุ มรรค ผล นิพพาน  
๑๓. โคตรภูญาณ ปัญญาในโคตรภูชวนะ กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ ข่มเสียซึ่งโคตรปุถุชนเพื่อถึงอริยโคตร เป็นอาวัชชนแก่มรรคญาณ  
ปีที่ผ่านมา
๑๔. มรรคญาณ ปัญญาในมัคคจิตซึ่งเป็นโลกุตระ สำเร็จกิจทำลายกิเลส ดับวัฏฏทุกข์ ปิดประตูอบาย ๔ เป็นขณะที่ถึงพร้อมด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ  
๑๕. ผลญาณ ปัญญาในผลจิตที่เกิดต่อกัน  ๑๖.ปัจจเวกขณาณ  ญาณใช้ในการพิจารณาเป็นต้นโดยย่อ
พุทธศาสนาจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดภิกษุภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อันเป็นผู้ดำรงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ อันได้เเก่ ปริยัติ ปฏิบัติ เเละปฏิเวธ เป็นอริยะชน กัลยาณชน ทั้งที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ถึงจะเป็นพระปุถุชนก็ทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา

เราไม่สามารถทำในบางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นทำได้เเละคนอื่นก็ไม่สามารถทำในบางสิ่งบางอย่างที่เราทำได้ ทุกคนย่อมถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันเเละกันทำบุญร่วมชาติเกิดในพุทธศาสนาเดียวกัน ♡ปีนี้ผ่านไปปีใหม่เข้ามาอยู่ดีมีเเฮงเเข็งเเรงทุกคน อายุ วัณโณ สุขัง พลัง♡

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2562

อานาปานสติ


การปฏิบัติตามลำดับขั้นของแต่ละหมวดของอานาปานสติภาวนามีทั้งหมด ๔ หมวด ๑๖ ขั้นตอน ดังนี้
หมวดที่ ๑ : กายานุปัสสนาภาวนา
การปฏิบัติในหมวดนี้ คือ การศึกษาเรื่องของกายโดยเฉพาะกายลม คือ ลมหายใจ ต้องศึกษาจนรู้จักธรรมชาติของลมหายใจทุกอย่างทุกชนิดอย่างถี่ถ้วนจนสามารถรู้ชัดว่า กายลมนี้ปรุงแต่งกายเนื้ออย่างไรและสามารถใช้กายลมบังคับกายเนื้อ (ร่างกาย) ได้ตามต้องการ (ปฏิบัติอยู่ทุกขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก)
จุดประสงค์ของการฝึกปฏิบัติหมวดที่ ๑ คือ กายานุปัสสนาภาวนานั้น เพื่อฝึกอบรมจิตให้มีความมั่นคงหนักแน่นอยู่ด้วย กำลังของสมาธิ
ขั้นที่        ตามลมหายใจยาว
ขั้นที่        ตามลมหายใจสั้น
ขั้นที่       ตามรู้จัก - ศึกษาลมหายใจทุกชนิดที่ปรุงแต่งกายจนเห็นชัดว่าลมหายใจเป็น “กายสังขาร”
ขั้นที่       ทำลมหายใจให้สงบระงับด้วยการเฝ้าดูจิตสงบนิ่ง
พร้อมอยู่ด้วยสติ- สมาธิอย่างหนักแน่น
หมวดที่ ๒ : เวทนานุปัสสนาภาวนา
การปฏิบัติหมวดนี้ คือการศึกษาเรื่องของเวทนาที่มีอำนาจอิทธิพลปรุงแต่งจิตของมนุษย์ให้ดิ้นรนระส่ำระสายมิให้มีความสงบเย็น จึงต้องศึกษาให้รู้ลักษณะอาการของเวทนาทุกอย่างทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนาอย่างละเอียดจนสามารถบังคับควบคุมเวทนาได้(ปฏิบัติทุกอย่างขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก)
จุดประสงค์ของการฝึกปฏิบัติหมวดที่๒ คือเวทนานุปัสสนาภาวนานั้น เพื่อฝึกอบรมจิตให้สามารถควบคุมเวทนา มิให้เวทนามีอิทธิพลปรุงแต่งจิตได้
ขั้นที่      ศึกษาปีติแล้วทำปีติให้สงบระงับ
ขั้นที่      ศึกษาสุขแล้วทำสุขเวทนานั้นให้สงบระงับ
ขั้นที่      ศึกษาเวทนาทุกชนิดจนประจักษ์ชัดว่า  เวทนาเป็น จิตตสังขาร
ขั้นที่      ทำเวทนาให้สงบระงับ 
หมวดที่ ๓ : จิตตานุปัสสนาภาวนา
การปฏิบัติในหมวดนี้ คือ การศึกษาเรื่องธรรมชาติของจิต เพื่อรู้จักลักษณะอาการของจิตให้ละเอียดถี่ถ้วนทุกแง่มุม แล้วฝึกทดสอบกำลังในการบังคับจิต เพื่อเตรียมจิตให้เป็นจิตที่สงบ มั่นคง ว่องไวพร้อมที่จะพิจารณาธรรมต่อไป (ปฏิบัติอยู่ทุกขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก)
จุดประสงค์ของการฝึกปฏิบัติหมวดที่๓ คือ จิตตานุปัสสนาภาวนานั้น เพื่อศึกษาธรรมชาติของจิตจนรู้จักชัดเจน แล้วสามารถควบคุมบังคับจิตได้
ขั้นที่      ศึกษาจิตจนรู้จักธรรมชาติของจิต
ขั้นที่ ๑๐  บังคับจิตให้บันเทิงปราโมทย์
ขั้นที่ ๑๑  บังคับจิตให้นิ่งตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ขั้นที่ ๑๒  บังคับจิตให้ปล่อยเป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
หมวดที่ ๔ : ธัมมานุปัสสนาภาวนา
การปฏิบัติในหมวดนี้ คือ การศึกษาเรื่องธรรมที่เป็นสัจจะของธรรม หรือ กฎของธรรมชาติ คือกฎไตรลักษณ์ กฎอิทัปปัจจยตา จนประจักษ์แจ้งในความจริงของธรรมชาติ แล้วจิตจะจางคลายจากความยึดมั่นถือมั่น จนถึงที่สุดคือดับเสียซึ่งความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ในสิ่งทั้งปวงมีจิตที่เป็นอิสระมีความสุขสงบเย็นอยู่ด้วยสุญญาตาวิหาร(ปฏิบัติอยู่ทุกขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก)
จุดประสงค์ของการฝึกปฏิบัติหมวดที่ ๔ คือ ธัมมานุปัสสนาภาวนานั้น เพื่อศึกษาธรรม (กฎธรรมชาติ) จนประจักษ์แจ้ง จิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ทั้งปวง เป็นจิตที่มีแต่ความสุขสงบเย็นเยือกเย็นอันเกษมด้วยสุญญตาวิหาร
ขั้นที่ ๑๓   ใคร่ครวญธรรม (ไตรลักษณ์-อิทัปปัจจยตา) จนประจักษ์ใจในธรรมนั้น
ขั้นที่ ๑๔   เพ่งดูความจางคลาย (วิราคะ) ที่เกิดขึ้นในจิต
ขั้นที่ ๑๕   เพ่งดูความดับ (นิโรธะ) ที่เกิดขึ้นในจิต
ขั้นที่ ๑๖   เพ่งดูความสลัดคืน (ปฏินิสสัคคะ) ที่เกิดขึ้นในจิต                                                                     (อานาปานสติสูตร)

กรณียเมตตสูตร

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพระสูตรนี้ที่สาวัตถี เพื่อให้บรรดาพระภิกษุได้เจริญเมตตาเพื่อยังความร่มเย็น
เป็นสุข และเพื่อความเป็นมิตรต่อสัตว์ทั้งหลาย มิให้เบียดเบียนกัน
โดยที่มาของพระสูตรเกิดขึ้นเมื่อพระ ภิกษุ ประมาณ 500 รูป ได้เรียน กรรมฐาน จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้นได้เดินทางไปแสวงหาเสนาสนะที่เป็นสัปปายะ สุดท้ายพระภิกษุทั้งหมดได้บำเพ็ญพระกรรมฐานอยู่ตามโคนไม้ ณ ป่าหิมวันต์ ในปัจจันตประเทศ  ต่อมา บรรดารุกขเทวดา และเทพยดาที่สถิตอยู่ตามต้นไม้ ต่างต้องลงมาจากวิมานของตนเนื่องจากบรรดาพระภิกษุได้กระทำความเพียรอยู่ ณ โคนต้นไม้ เมื่อได้รับความลำบากและคิดว่าพระภิกษุเหล่านี้ต้องกระทำความเพียรตลอดพรรษาไม่อาจจะไปที่ไหนได้อีกจะยังความลำบากให้แก่พวกตนและลูกหลานของตนอีกยาวนาน บรรดารุกขเทวดาและเทพยดาในถิ่นนั้นจึงรวมตัวกันแสดงอาการอันน่ากลัว แล้วหลอก เพื่อขับไล่พระภิกษุเหล่านั้นพระภิกษุเหล่านั้นได้รับความลำบากกายลำบากใจอย่างยิ่งที่ถูกบรรดารุกขเทวดาและเทพยดาจำแลงกายหลอกหลอนตนจนไม่อาจบำเพ็ญเพียรเจริญพระกรรมฐานได้ ต่อมาจึงพากันเดินทางไปยังนครสาวัตถีเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธองค์ทรงสดับเรื่องราวแล้ว ทรงมีพระดำรัสให้ภิกษุทั้งหลายกลับไปเจริญพระกรรมฐานยังสถานที่แห่งเดิม
แล้วจึงทรงตรัสเมตตสูตร เพื่อให้ภิกษุทั้ง 500 รูปได้เจริญเมตตาโปรดรุกขเทวดาเทพยดาทั้งหลาย 

เกิดเมื่อท้าวมหาราชทั้งสี่คือ   ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ และท้าวเวสสุวัณ  ตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า   แต่เกรงว่าหากพวกอสูรรู้ว่าบนดาวดึงส์ไม่มีใครอยู่ ก็อาจถือโอกาสมากวน   ซึ่งพวกตนก็อาจกลับมาไม่ทัน  จึงได้จัดตั้งกองทหารไว้ ๔ กอง   ประกอบด้วยคนธรรพ์ ยักษ์ นาครักษาแต่ละทิศไว้  แล้วพากันไปประชุมที่อาฏานาฏิยนคร   แล้วผูกมนต์เป็นอาฏานาฏิยปริตรขึ้น  จากนั้นก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมบริวารเป็นจำนวนมาก  แต่ปรากฏว่าบริวารของท้าวมหาราชเหล่านี้   ต่างก็มีปฏิกิริยาต่อพระพุทธองค์ต่างๆ กัน  เพราะบ้างก็นับถือ บ้างก็ไม่เชื่อถือ   จนเป็นเหตุให้บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าที่ไปบำเพ็ญธรรมตามที่ต่างๆ   ต้องถูกผี ปีศาจ ยักษ์ที่ไม่เลื่อมใสเหล่านี้รบกวน  จนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเป็นอันตรายต่างๆ นานา  ท้าวเวสสวัณจึงได้กราบทูล   ขอให้พระพุทธองค์รับอาฏานาฏิยปริตร  ไว้ประทานแก่สาวกของพระองค์   เพื่อป้องกันมิให้ยักษ์ และภูตผีปีศาจรบกวน  ซึ่งเนื้อความ  เป็นการสรรเสริญพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์  และขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยกาย วาจา ใจ   ไม่ว่าเวลานอน เดิน นั่ง หรือยืน  ขอให้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้คุ้มครองรักษาให้พ้นภัย พ้นโรค   และความเดือดร้อนต่างๆ                                                                                        < อาฏานาติยสูตร>
อานิสงส์ของการเจริญมตตา     
๑) หลับเป็นสุข
๒) ตื่นเป็นสุข
๓) ไม่ฝันร้าย
๔) เป็นที่รักของพวกมนุษย์
๕) เป็นที่รักของพวกอมนุษย์
๖) เทวดารักษา
๗) ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี ศัสตราก็ดี ไม่ต้องบุคคลนั้น
๘) จิตตั้งมั่นได้รวดเร็ว
๙) สีหน้าผุดผ่อง
๑๐) ไม่หลงทำกาละ
๑๑) เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษที่ยิ่งขึ้นไป ย่อมเกิดในพรหมโลก

สูตรว่าด้วยความเคารพ

         



ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ได้เกิดความคิดคำนึงขึ้นอย่างนี้ว่า “ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยอะไรหนอแลอยู่ จึงละอกุศล เจริญกุศลได้” ลำดับนั้นแล ท่านพระสารีบุตรจึงมีความคิดดังนี้ว่า

  ๑. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยพระศาสดาอยู่ จึงละอกุศล เจริญกุศลได้

  ๒. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยพระธรรม                    

  ๓.ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยพระสงฆ์

  ๔. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยสิกขา

  ๕. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยสมาธิ

  ๖. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยความไม่ประมาท

  ๗. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยปฏิสันถารอยู่ จึงละอกุศล เจริญกุศลได้

             ต่อมา ท่านพระสารีบุตรได้มีความคิดดังนี้ว่า “ธรรมของเราเหล่านี้ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทางที่ดี เราควรจะไปกราบทูลธรรมเหล่านี้แด่พระผู้มีพระภาค ธรรมของเราเหล่านี้จักบริสุทธิ์ และนับว่าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ด้วยอาการอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุรุษได้ทองคำแท่งอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง เขามีความคิดอย่างนี้ว่า ‘ทองคำแท่งของเรานี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทางที่ดี เราควรจะไปเสนอทองคำแท่งนี้แก่ช่างทอง ทองคำแท่งของเรานี้ไปถึงช่างทองแล้วจักบริสุทธิ์ และนับว่าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ แม้ฉันใดธรรมของเราเหล่านี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทางที่ดี เราควรจะไปกราบทูลธรรมเหล่านี้แด่พระผู้มีพระภาค ธรรมของเราเหล่านี้ก็จักบริสุทธิ์ และนับว่าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ด้วยอาการอย่างนี้”

            ครั้นในเวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรได้ออกจากที่หลีกเร้น๑- เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์หลีกเร้นอยู่ในที่สงัดเกิดความคิดคำนึงขึ้นอย่างนี้ว่า ‘ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยอะไรหนอแลอยู่ จึงละอกุศล เจริญกุศลได้’ ลำดับนั้นแลข้าพระองค์จึงเกิดความคิดดังนี้ว่า

   ๑. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยพระศาสดาอยู่ จึงละอกุศล เจริญกุศลได้

   ๒. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยพระธรรม

   ๓. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยพระสงฆ์

   ๔. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยสิกขา

   ๕. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยสมาธิ

   ๖. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยความไม่ประมาท

   ๗. ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยปฏิสันถารอยู่ จึงละอกุศล เจริญกุศลได้

             ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ต่อมา ข้าพระองค์ได้มีความคิดดังนี้ว่า ‘ธรรมของเราเหล่านี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทางที่ดี เราควรจะไปกราบทูลธรรมเหล่านี้แด่พระผู้มีพระภาคธรรมของเราเหล่านี้จักบริสุทธิ์ และนับว่าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นด้วยอาการอย่างนี้  เปรียบเหมือนบุรุษได้ทองคำแท่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขามีความคิดอย่างนี้ว่า ‘ทองคำแท่งของเรานี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทางที่ดีเราควรจะไปเสนอทองคำแท่งนี้แก่ช่างทอง ทองคำแท่งของเรานี้ไปถึงช่างทองแล้วจักบริสุทธิ์ และนับว่าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ด้วยอาการอย่างนี้แม้ฉันใด ธรรมของเราเหล่านี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทางที่ดีเราควรจะไปกราบทูลธรรมเหล่านี้แด่พระผู้มีพระภาค ธรรมของเราเหล่านี้ก็จักบริสุทธิ์และนับว่าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ด้วยอาการอย่างนี้”        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดีละ ดีละ สารีบุตร ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยศาสดาอยู่ จึงละอกุศล เจริญกุศลได้ ฯลฯ อาศัยธรรม ฯลฯ อาศัยสงฆ์ ฯลฯ อาศัยสิกขา ฯลฯ อาศัยสมาธิ ฯลฯ อาศัยความไม่ประมาท ฯลฯ สารีบุตร ภิกษุสักการะ เคารพ อาศัยปฏิสันถารอยู่ จึงละอกุศล เจริญกุศลได้”

            (สักกัจจสูตร)

          

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2562

พระสถิตในดวงใจ


เสด็จถิ่นกันดารไทยไปทุกภาค   ทรงเหนื่อยยากอย่างไรไปทุกหน
พระเสโทรินหลั่งดั่งสายชล        ประชาชนพ้นทุกข์เข็ญร่มเย็นเอย
น้อมระลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณ
คณะสงฆ์ชาวบ้านประชาชน

หลักธรรมของพระราชา ๑๐ ประการ.
นับแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ พระองค์ทรงดำรงอยู่ใน “ทศพิธราชธรรม” คือ ธรรมะ ๑๐ ประการ สำหรับพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระองค์ทรงยึดมั่นมาตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่ทรงครองราชย์ และพระองค์ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม อันมีทศพิธราชธรรม ๑๐ประการ ได้แก่
๑. “ทาน” คือ การให้ หมายถึง การสละทรัพย์ สิ่งของ เพื่อช่วยเหลือคนที่ด้อยและอ่อนแอกว่า.
๒. “ศีล” คือ การตั้งอยู่ในศีล หมายถึง มีความประพฤติดีงาม เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนทั่วไป.
๓. “ปริจาคะ” คือ การบริจาค หมายถึง การเสียสละความสุขสำราญของตน เพื่อประโยชน์สุขของหมู่คณะ.
๔. “อาชชวะ” คือ ความซื่อตรง หมายถึง มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความจริงใจ ไม่กลับกลอก
.๕. “มัททวะ” คือความอ่อนโยน หมายถึง มีกิริยาสุภาพ มีสัมมาคารวะ วาจาอ่อนหวาน มีความนุ่มนวล ไม่เย่อหยิ่ง ไม่หยาบคาย
๖. “ตบะ” คือความเพียร หมายถึง การเพียรพยายามไม่ให้ความมัวเมาเข้าครอบงำจิตใจ ไม่หมกมุ่นกับความสุขสำราญ
.๗. “อักโกธะ” คือความไม่โกรธ หมายถึง มีจิตใจมั่นคง มีความสุขุม อดกลั้น ไม่แสดงความโกรธหรือความไม่พอใจให้ปรากฏ.
๘. “อวิหิงสา” คือความไม่เบียดเบียน หมายถึง การดำเนินชีวิตไปตามทางสายกลาง ไม่กดขี่ข่มเหง กลั่นแกล้งรังแกคนอื่น ไม่หลงในอำนาจ.
๙. “ขันติ” คือความอดทนหมายถึง การอดทนต่อสิ่งทั้งปวง สามารถอดทนต่องานหนัก ความยากลำบาก และอดกลั้นต่อคำติฉินนินทา.
๑๐. “อวิโรธนะ” คือความเที่ยงธรรม หมายถึง ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2562

สวดมนต์เฉลิมพระเกียรติ สอบธรรมศึกษา

การสวดมนต์เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูรถวายเป็นพระราชกุศลที่ทรงพระราชศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาเเละการประชุมคณะสงฆ์โดยหลวงพ่อพระครูศรีธรรมวิบูลเเละพระครูจารุปริยัติการประธานฝ่ายสงฆ์เเละนายคนิจ เเก่นจันทร์ ประธานฝ่ายฆราวาสชาวบ้านผู้นำชุมชนท้องถิ่นในเขตอำเภอม่วงสามสิบจัดขึ้นที่วัดโนนรังน้อยเเละการสอบธรรมศึกษาเพื่อปลูกฝังพัฒนาเด็กให้มีรากฐานรู้หลักธรรมในพระพุทธศาสนานำไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่มากก็น้อยโดยจัดสอบเเม่กองธรรมสนามหลวง ตรี โท เอก ของโรงเรียนต่างๆโดยวัดหนองขุ่นเป็นศูนย์กลางในการจัดสอบ เเละโรงเรียนต่างๆที่เข้าร่วมสอบอาทิ เช่น ร.ร.บ้านหนองขุ่น ร.ร.บ้านหนองสองห้อง ร.ร.บ้านยางโยภาพ ร.รบ้านน้ำอ้อมผักระย่า ร.ร.บ้านหนองบัวเเเดงประชาสามัคคี เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒