ความเบื้องต้น
ชาดกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์
แสดงถึงความเป็นมาในพระชาติต่าง ๆ ที่ได้เกิดมาสร้างบารมีเอาไว้เพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เราเรียกว่าพระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗, ๒๘ มีทั้งหมด
๕๔๗ เรื่อง อาจมีเรื่องที่ซ้ำกันบ้างแต่คาถาจะต่างกัน
หรือบางเรื่องยกมาเพียงคาถาเดียวจากเรื่องที่มีหลาย ๆ คาถา
โครงสร้างชาดก
ชาดกนั้นมีคัมภีร์หลักอยู่
๒ ส่วน คือคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก ตามที่กล่าวแล้ว และคัมภีร์อรรถกถา
ขยายความเรื่องนี้อีก ๑๐ เล่ม นอกนั้นอาจปรากฏในพระวินัยปิฏก แลพระสูตรส่วนอื่น ๆ
หรือมีปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทบ้าง การอ่านชาดกในพระไตรปิฎกโดยตรง
เราจะได้ขุมทรัพย์๑คือปัญญา เพราะเป็นการอ่านพระพุทธพจน์ที่ท่านบันทึกไว้ในรูปของคาถาร้อยกรอง
แต่เราอาจจะไม่ทราบที่มาที่ไป หรือความเป็นมาความเป็นไป
แม้ได้ของดีแต่บางทีไม่รู้วิธีใช้ ก็อาจเกิดประโยชน์น้อย
เหมือนคนได้ยารักษาโรคขนานดีมา แต่ไม่มีฉลากกำกับวิธีใช้มาให้
ย่อมไม่ค่อยโปร่งใจเท่าไรที่จะบริโภค ส่วนในอรรถกถาชาดกนั้น มีโครงสร้างที่ชัดเจน
๕ ส่วน คือ
๑.
ปัจจุบันนิทาน กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
ประทับอยู่ที่ไหน ทรงปรารภใคร
เราจะทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นว่าใครทำอะไร ที่ไหน เรื่องอะไร
๒. อดีตนิทาน
เป็นเรื่องชาดกโดยตรง เรื่องที่เคยเกิดมีมาในอดีต
ทรงนำมาเล่าในที่ประชุมสงฆ์ให้รับทราบ
บางเรื่องเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ของชนชาติต่าง ๆ ในชมพูทวีป
บางเรื่องเป็นนิทานท้องถิ่น บางเรื่องเป็นนิทานเทียบสุภาษิต เช่นคนพูดกับสัตว์
สัตว์พูดกับสัตว์ หรือเทวดาพูดกับคน แต่ทั้งหมดนั้นมุ่งสอนให้คนประกอบกรรมดี
๓. คาถา
เป็นพุทธพจน์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่กล่าวแล้ว ท่านยกมาตั้งไว้
ซึ่งภาษิตบางเรื่องเป็นพุทธพจน์โดยตรง บางเรื่องเป็นฤาษีภาษิต
บางเรื่องเป็นเทวดาภาษิต แต่ก็ถือเป็นพุทธพจน์เพราะเป็นคำที่นำมาตรัสเล่าใหม่
๔.
เวยยากรณภาษิต เป็นการอธิบายธรรมที่ปรากฏในคาถานั้น ๆ เพื่อให้เข้าใจง่าย
เช่นคำว่า หิริโอตตัปปะ ความละอายชั่วกลัวบาป ท่านอธิบายว่า
ละอายชั่วคือละอายต่อการทำทุจริตทางกาย วาจา ใจ มีเหตุเกิดจากเหตุภายใน
คือนึกถึงตนเอง ชาติตระกูล ความรู้ความสามารถ ฐานะ การศึกษา
เป็นต้นแล้วไม่กล้าทำทุจริต
ส่วนความกลัวบาปมีเหตุเกิดจากภายนอกคือกลัวว่าตนเองจะต้องติเตียนตนเอง
กลัวสังคมติเตียน กลัวถูกจับกุมลงโทษ และกลัวว่าหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในทุคติ
แล้วไม่กล้าทำความชั่ว (เทวธรรมชาดก ขุททกนิกาย อรรถกถาชาดก เล่มที่ ๑ ข้อ ๖ หน้า
๑๘๕ ฉบับ มหาจุฬาอัฏฐกถา ๒๕๓๕ )
๕. สโมธาน เป็นการสรุปชาดก ให้เห็นว่าผู้ที่ปรากฏในชาดกนั้น ๆ เมื่อก่อนได้เคยทำกรรมที่ไม่ดีมาแล้วอย่างนี้ แม้ชาตินี้ก็ยังทำอยู่ ผลที่ได้คือทำให้ท่านผู้นั้นไม่กล้าทำความผิดซ้ำอีก หรือไม่ก็ได้บรรลุธรรมชั้นโสดาบันบุคคลขึ้นไป
ความงามในชาดก
ชาดกนั้นนำเสนอวิถีชีวิตของบุคคลในอดีตที่ผ่านมาแล้วไม่ต่ำกว่า
๓,๐๐๐ ปี
ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากยุคนี้ ยังตกอยู่ในอำนาจของความรัก ความชัง ความโกรธ ความหลง
หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องคนในยุคนี้ก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างจากคนในอดีตแต่อย่างใด
ในเรื่องความรัก ความชัง ความหลงและแนวการดำเนินชีวิต ผู้ที่พัฒนาตนเองได้
ห้ามตนจากความชั่วได้ย่อมประสบกับความเจริญ ส่วนผู้ที่อ่อนแอกว่า โง่เขลากว่า
ก็ยังลำบากอยู่เสมอ ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข
ส่วนผู้ประพฤติอธรรมย่อมอยู่เป็นทุกข์อยู่เสมอเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เราหาได้ในชาดก
แม้วิถีชีวิตไทยแท้ก็ยังดำเนินตามแนวทางที่ปรากฏในชาดก
เช่นศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วิถีชีวิตไทยที่มีใจเมตตา กรุณา
ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ล้วนได้จากชาดก
เราจะมาดูลีลาชีวิตในชาดกที่เป็นเครื่องสอนใจในหลายรูป ดังนี้
ลีลาชีวิตที่แตกต่าง
๑. ตายเพราะปาก
การพูด เป็นการสื่อสารที่สำคัญที่จะทำให้มนุษย์เรารู้เรื่องที่ประสงค์ได้
แต่การพูดมากไปก็ไม่ดี ไม่พูดก็ไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละทีก็ทะเลาะกัน
เรื่องการพูดท่านจึงว่า ต้องพูดให้ถูกกาล พูดคำสัตย์คำจริง คำอิงประโยชน์ อ่อนหวาน
และมีเมตตา คนที่พูดไม่ถูกกาล ถึงตายมีมาแล้วมิใช่น้อย
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษีมีศิษย์ ๕๐๐ ล้วนแต่เก่งในการเข้าฌาน แต่มีศิษย์ขี้โรคอยู่คนหนึ่งยังไม่ได้ฌานอะไร วันหนึ่งกำลังผ่าฟืนอยู่ เพื่อนดาบสอีกคนก็มายืนสั่งการว่า “ฟันอย่างนี้ซิ ผ่าอย่างนี้ ซิท่าน” เธอโกรธจึงพูดว่า “เดี๋ยวนี้ แกไม่ใช่อาจารย์สั่งสอนศิลปะในการผ่าฟืนแก่ฉันหรอกนะ” พูดจบก็เอาขวานฟันก้านคอคนช่างพูดนั้นถึงแก่ความตายที่ใกล้ ๆ อาศรมของพวกดาบส มีนกกระทาตัวหนึ่งขันอยู่ทุกวัน ต่อมาเงียบเสียงไป พระโพธิสัตว์จึงถามพวกศิษย์ว่า “นกกระทาที่เคยขันอยู่ทุกวันไปไหน” ฟังว่าถูกนายพรานนกมาดักจับไปกินแล้ว เพราะขันดังเกินไป อาจารย์จึงกล่าวว่า
“คำพูดที่ดังเกินไป รุนแรงเกินไป และพูดเกินเวลา ย่อมฆ่าคนโง่
เหมือนเสียงฆ่านกกระทาที่ขันดังเกินไป”
(ติตติรชาดก ชาดก เรื่องที่ ๑๑๗ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๒๕๓๙ เล่มที่ ๒๗ หน้า ๔๘)๒
๒.
ชื่อนั้นสำคัญไฉน
หลายคนไม่เข้าใจความจริงของชีวิตว่าความสุขและความทุกข์มีสาเหตุมาจากการกระทำของตนเอง
ไม่ได้พิจารณา แต่กลับไปเที่ยวโทษสิ่งภายนอกว่าเป็นเหตุให้ตนลำบาก
หาอะไรโทษไม่ได้ก็มาโทษชื่อของตนเองว่าเป็นกาลกิณี
เลยยอมเสียเงินทองเสียเวลาเพื่อให้หมอเปลี่ยนชื่อ
จนเกิดเป็นอาชีพรับตั้งชื่อกันก็มีอยู่มากมาย ในอดีตกาล
ลูกศิษย์ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ชื่อนายบาป ไม่ชอบใจชื่อของตน
จึงไปขอให้อาจารย์ตั้งชื่อให้ใหม่ อาจารย์จึงให้เขาออกเที่ยวหาชื่อเอาเองตามชอบใจ
เมื่อได้กลับมาแล้วจะตั้งให้ เขาจึงออกเดินทางหาชื่อที่เหมาะสม
เดินไปไม่นานเห็นคนหามศพผ่านไป ถามทราบความว่า คนตายชื่อนายเป็น ถามเขาว่า
ชื่อเป็นทำไมถึงตาย ได้รับคำตอบว่า จะชื่ออะไรก็ตายทั้งนั้น
เพราะชื่อเป็นสิ่งสมมติเพื่อรู้กันเท่านั้นเขาเดินทางต่อไป
เห็นเศรษฐีเจ้าหนี้กำลังทุบตีลูกหนี้ที่ไม่ยอมจ่ายดอกเบี้ยเสียที
ถามเขาว่าคนถูกตีชื่ออะไร ทราบว่า ชื่อนางรวย คนชื่อรวยกลับจนด้วยหรือ
ได้รับคำตอบว่า จะชื่ออะไร ไม่สำคัญ ถ้าไม่ขยันทำงานหาเงินก็จนได้ทั้งนั้นเเหละ
ชื่อมันเป็นสิ่งสมมติเท่านั้น เขาจึงเดินทางต่อไป
เดินผ่านดงใหญ่ได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไปสอบถาม ได้ความว่า
เจ้าคนนั้นเดินหลงทางอยู่ในป่าหลายวันแล้วหาทางออกจากป่าไม่ได้ ถามเขาว่าชื่ออะไร
ได้ฟังว่า ชื่อนายชำนาญทาง จึงถามต่อว่า ทำไมชื่อชำนาญทางแต่หลงทาง ได้ฟังคำตอบว่า
มันเป็นแต่เพียงชื่อที่สมมติเพื่อรู้กันเท่านั้น ไม่ใช่ชำนาญจริงอย่างชื่อเมื่อไรนายบาปจึงเดินทางกลับสำนัก
ไปบอกอาจารย์ว่า หาชื่อถูกใจไม่ได้ขอใช้ชื่อเดิม อาจารย์จึงกล่าวว่า “เพราะเห็นคนชื่อเป็นแต่ตาย เห็นหญิงชื่อรวยแต่ยากจน
เห็นนายชำนาญทางแต่หลงทางในป่า นายบาปจึงได้กลับมา”
(นามสิทธิชาดก ชาดก เรื่องที่ ๙๗ หน้า ๔๐ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๒๕๓๙ เล่มที่ ๒๗ หน้า ๔๐)
๓. โลภมาก
ลาภหาย ความโลภไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งถ้าโลภจนตัวสั่นงันงกแล้ว(อภิชฌาวิสมโลภะ)
ยิ่งมองไม่เห็นอรรถไม่เห็นธรรมหรือไม่เห็นความผิดถูกแต่ประการใด
คิดแต่จะเอาให้ได้ฝ่ายเดียว ในอดีต
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์มีภรรยาคนหนึ่งพร้อมธิดา ๓ คน
เมื่อธิดาออกเรือนไปไม่นาน พระโพธิสัตว์ก็ทำกาลกิริยาไปเกิดเป็นหงส์ทอง
ระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดเป็นมนุษย์ คิดจะสงเคราะห์ภรรยา
จึงบินมาสลัดขนทองให้ครั้งละหนึ่งขน ทำให้อดีตภรรยาและธิดาได้เงินทองใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย
ต่อมา ฝ่ายอดีตภรรยาพูดกับธิดาว่า “ธรรมดาสัตว์ดิรัจฉานรู้ใจยาก
ถ้าเวลาหงส์ทองพ่อของพวกเจ้าไม่มา พวกเราจะลำบาก
ทางที่ดีเราจะช่วยกันจับถอนเอาขนทองเสีย” เมื่อหงส์ทองโพธิสัตว์กลับมา
ภรรยาและธิดาต่างก็ช่วยกันจับถอนขนจนหมดสิ้น
เมื่อขนขึ้นมาใหม่กลับกลายเป็นขนสีขาวตามปกติ เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากถูลนันนทาภิกษุณีไปขอกระเทียมชาวบ้านเขา
เมื่อเจ้าของเขาให้แล้ว ไปถอนเอาของเขาจนหมดแปลง
ทำให้ชาวบ้านเขาติเตียนว่าไม่รู้จักประมาณ
พระพุทธเจ้าทรงปรารภเรื่องนี้แแล้วตรัสคาถาว่า
“บุคคลได้สิ่งใด ควรยินดีสิ่งนั้น เพราะความโลภเกินไปเป็นความชั่วแท้ นางพราหมณีจับเอาหงส์ทองถอนขนเสีย
จึงเสื่อมจากทอง”
(สุวัณณหังสชาดก ชาดก เรื่องที่ ๑๓๖ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ เล่มที่ ๒๗ หน้า ๕๖)
๔.
กระต่ายตื่นตูม คนที่ทำอะไรตาม ๆ
คนอื่นเขาโดยไม่สืบสาวเรื่องราวให้ถ่องแท้ก่อนนั้น
เห็นวิบัติหมดเนื้อหมดตัวมามากแล้ว
ในอดีตกาล
เจ้ากระต่ายตัวหนึ่งอาศัยหากินอยู่แถวดงตาลปนป่ามะตูม เมื่อมันหากินแล้ว
ก็เข้านอนใต้ใบตาลแห้งซึ่งอยู่ที่โคนต้นมะตูม กำลังนอนคิดเพลินๆ ว่า
ถ้าแผ่นดินถล่มจะทำอย่างไร บังเอิญขณะนั้น
มะตูมสุกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาบนใบตาลแห้งที่มันนอนอยู่ภายใต้ เสียงดังตูมใหญ่
มันตกใจรีบหวิ่งหนีหน้าตั้งโดยไม่คิดจะหันหลังดู พวกเพื่อน ๆ
เห็นมันวิ่งมาอย่างนั้นจึงร้องถามว่าวิ่งหนีอะไร มันวิ่งไปบอกไปว่า แผ่นดินถล่ม
กระต่ายจำนวนพันได้ฟังดังนั้น ก็วิ่งตามมันไป สัตว์อื่น ๆ เห็นเข้า
ก็ตะโกนถามว่าวิ่งหนีอะไร ได้ยินว่าแผ่นดินถล่ม บรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น หมี
ช้าง กวาง แรด เสือ ราชสีห์และสัตว์อื่น ๆ
ต่างก็รักตัวกลัวตายไม่มีใครที่จะคิดกลับไปดู
สัตว์ทั้งหลายที่เหยียบกันตายนับประมาณไม่ได้ วิ่งกันมาฝุ่นตลบกลบปถพียิ่งกว่าแผ่นดินถล่ม
กำลังจะถลันตกหน้าผาลงทะเลพอดี ขณะนั้นพระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์หากินอยู่แถวนั้น
เห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังจะตกทะเลตาย
จึงวิ่งไปยืนสกัดกั้นอยู่ข้างหน้าร้องถามไปว่าพวกท่านหนีอะไรกัน
บรรดาสัตว์ทั้งหลายเห็นราชสีห์ยืนคำรามอยู่ข้างหน้าต่างกลัวตาย จึงร้องบอกว่า
แผ่นดินถล่ม ราชสีห์ถามว่าใครเห็น ไม่มีใครบอกได้
ต้องไล่เลียงลงไปจนถึงเจ้ากระต่ายตัวต้นเรื่อง
ราชสีห์จึงบังคับให้กระต่ายนำไปดูที่เกิดเหตุ กระต่ายไม่ยอมไป ยืนกระต่ายขาเดียว
ราชสีห์จึงให้สัตว์ทั้งหลายรออยู่
ตนเองให้กระต่ายตัวนั้นนั่งบนหลังแล้วนำไปดูที่เกิดเหตุ
กระต่ายไม่ยอมเข้าไปใกล้ต้นมะตูมได้ร้องบอกว่า ข้าพเจ้านอนอยู่ตรงนั้น แล้วเสียงมันดังตูมขี้น
ราชสีห์จึงแสดงลูกมะตูมสุกให้กระต่ายดู
แล้วพากระต่ายกลับไปบอกสัตว์ทั้งหลายให้ทราบความจริง พระพุทธจ้าตรัสคาถาว่า
“กระต่ายได้ยินเสียงผลมะตูมสุกหล่นเสียงดังสนั่นก็วิ่งหนีไป
ฝูงสัตว์ฟังคำของกระต่ายต่างก็กลัวตัวสั่น พวกคนโง่เขลายังไม่ทันรู้เรื่องอย่างแจ่มแจ้ง
ฟังคนอื่นโจษขาน ก็พากันตื่นตระหนก เพราะพวกเขาเชื่อคนง่าย ส่วนพวกนักปราชญ์
สมบูรณ์ด้วยศีลและปัญญา ยินดีในความสงบ และเว้นไกลจากความชั่ว ย่อมไม่เชื่อคนง่าย”
(ทุททุภายชาดก ชาดก เรื่องที่ ๓๒๒ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ เล่มที่ ๒๗ หน้า ๑๗๔)
เรื่องที่นำมาแสดงเป็นตัวอย่างนี้
เป็นเรื่องสอนใจทั่ว ๆ ไป ยังไม่สู้พิศดาร ส่วนเรื่องที่ปรากฏใน มหานิบาต
ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความยาวเกินกว่า ๑๐๐ คาถาขึ้นไป เป็นพระชาติที่บำเพ็ญบารมี ๓๐
ประการมีทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี เป็นต้นที่เราคุ้นเคยและได้ยินได้ฟัง
ทั้งได้เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังตามอารามต่าง ๆ เห็นว่า
น่าจะเป็นขุมปัญญาที่น่าศึกษาอย่างยิ่งจึงได้นำบทนำพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ มาเสนอไว้
ดังนี้
๑. เตมิยชาดก
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากาสิกราช ในเวลาที่ทรงพระเยาว์ ทรงเห็นพระราชบิดาพิพากษาลงโทษพวกโจรแล้ว
พระองค์ทรงระลึกถึงอดีตชาติได้ว่า พระองค์เคยเป็นพระราชาและพิพากษาลงโทษคนเช่นนี้มาแล้ว
และต้องไปเสวยผลกรรมในนรกเป็นเวลานาน
ในชาตินี้จึงไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติและได้ทรงแกล้งทำเป็นคนใบ้
แม้จะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ มาตลอดเวลา แต่ก็ไม่ยอมเจรจา
พระราชบิดาจึงได้รับสั่งให้นำตัวท่านไปฝังในป่าช้า
ทำให้ท่านได้โอกาสสอนนายสารถีแล้วเสด็จออกบรรพชา
ต่อมาพระราชบิดาและชาวเมืองก็ได้ออกบรรพชาตามเป็นจำนวนมาก
๒. มหาชนกชาดก
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้ามหาชนก ขณะพระมารดาทรงพระครรภ์ได้หนีข้าศึกไปอาศัยอยู่กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์
ที่เมืองกาละจัมปากะ เมื่อเจริญวัยได้ศึกษาจนจบไตรเพทและศิลปศาสตร์
แล้วขออนุญาตพระมารดาเดินทางไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ แต่เรือแตกจมลงในมหาสมุทร
ในขณะที่ท่านกำลังว่ายน้ำช่วยเหลือตนเองอยู่ในมหาสมุทรเป็นวันที่ ๗ นั้น
นางมณีเมขลาซึ่งเป็นเทพธิดาผู้รักษามหาสมุทรได้ช่วยเหลือนำท่านไปส่งขึ้นฝั่งที่กรุงมิถิลา
ต่อมาอำมาตย์และปุโรหิตเป็นต้นได้อภิเษกพระมหาชนกขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ ณ
กรุงมิถิลา
สืบต่อจากพระเจ้าโปลชนกผู้เป็นพระเจ้าอาซึ่งไม่มีพระราชโอรสมีแต่พระธิดา เพราะพระองค์รับสั่งไว้ก่อนสวรรคตว่า
ถ้าผู้ใดรู้ปริศนาธรรม ๑๖ ข้อ และทำให้พระราชธิดาสีวลีของเราพอพระทัยได้
ก็ให้พร้อมใจกันอภิเษกผู้นั้นขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติสืบต่อไป
๓.
สุวรรณสามชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสุวรรรณสามดาบส
เลี้ยงดูบิดามารดาผู้เป็นดาบสดาบสินีตาบอดอยู่ในป่า ต่อมาวันหนึ่งสุวรรณสามดาบสไปตักน้ำและถูกพระเจ้าปิลยักษ์ยิงด้วยลูกศร
ท่านได้ทูลถามพระเจ้าปิลยักษ์ว่า ยิงท่านทำไม พระองค์ตรัสตอบว่า
เข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนไล่เนื้อให้หนีไป ก่อนจะสลบล้มลงไป ท่านได้ทูลขอร้องว่า
“ขอพระองค์โปรดช่วยเลี้ยงดูบิดามารดาแทนข้าพระองค์ด้วย” พระเจ้าปิลยักษ์เข้าพระทัยว่าสุวรรณสามตายแล้ว
จึงเสด็จไปนำบิดามารดาของสุวรรณสามมาดูศพ เมื่อท่านทั้งสองมาดูแล้วจำได้ว่า
เป็นบุตรของตนจริง ๆ จึงพากันร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา
จากนั้นจึงได้ทำสัจกิริยาขอให้พิษร้ายออกจากร่างกายของสุวรรณสาม และมีเทพธิดาอีกองค์หนึ่งมาช่วยทำสัจกิริยาด้วย
เมื่อสุวรรณสามฟื้นจากสลบแล้วจำความต่างๆ ได้
จึงแสดงธรรมแก่พระเจ้าปิลยักษ์และให้ตั้งอยู่ในศีล ๕
พระโพธิสัตว์ปรนนิบัติบิดามารดาจนท่านทั้งสอง สิ้นชีวิตแล้ว
จึงได้ดับขันธ์ไปสู่พรหมโลก
๔. เนมิราชชาดก
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าเนมิราช ทรงบำเพ็ญฌาน สมาทานอุโบสถศีลมิได้ขาด
ทรงชี้แจงทางสวรรค์แก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก
ประชาชนเหล่านั้นทำบุญแล้วตายไปเกิดในสวรรค์
เมื่อระลึกถึงอุปการคุณของพระราชาจึงให้มาตลีเทพบุตรนำเวชยันต์ราชรถไปรับพระเจ้าเนมิราชให้ขึ้นไปเยี่ยมชมสวรรค์
มาตลีเทพบุตรได้นำพระเจ้าเนมิราชไปชมนรกต่าง ๆ
แล้วแสดงบุพกรรมของสัตว์นรกเหล่านั้นให้สดับ จากนั้นได้นำไปชมสวรรค์ชั้นต่าง ๆ
และแสดงบุพกรรม ของเหล่าเทวดาในสวรรค์แต่ละชั้นให้สดับ
ต่อจากนั้นจึงนำไปเยี่ยมท้าวสักกเทวราช พระเจ้าเนมิราชทรงแสดงธรรมแก่ท้าวสักกเทวราชและเทพบริวารเป็นจำนวนมาก
เมื่อมาตลีเทพบุตรนำพระเจ้าเนมิราชกลับมาส่งที่มนุษยโลกแล้ว
พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนให้ตั้งอยู่ในบุญกุศลมีการให้ทานเป็นต้น
เมื่อพระเกษาหงอกแล้วได้เสด็จออกบรรพชา บำเพ็ญฌานสมาบัติให้เกิดขึ้น
และเมื่อสวรรคตแล้วจึงได้ไปสู่พรหมโลก
๕. มโหสธชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมโหสธบัณฑิต เป็นผู้มีปัญญามากและเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เยาว์วัย ได้ใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงจนเกียรติคุณแพร่ขจรไป พระเจ้าวิเทหะทรงทราบข่าว จึงโปรดให้นำตัวไปเข้ารับราชการเป็นบัณฑิตประจำราชสำนัก ในเบื้องต้นของการรับราชการประจำราชสำนัก มโหสธบัณฑิตไม่ได้รับความเจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะเหล่าบัณฑิตผู้อาวุโสมักจะหาเรื่องใส่ความอยู่เสมอ ๆ แต่มโหสธบัณฑิตได้ใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้รอดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ทุกเรื่อง และต่อมาท่านได้คู่ครองที่เฉลียวฉลาดคอยช่วยแก้ไขปัญหาให้อีกด้วย ภายหลังจากที่มโหสธบัณฑิตได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีแล้ว ท่านได้รับอาสาพระเจ้าวิเทหะยกกองทัพไปปราบพระเจ้าจูฬนี พระเจ้าจูฬนีทรงยินยอมสงบศึกและขอร้องให้มโหสธบัณฑิตไปรับราชการอยู่กับพระองค์ เมื่อพระเจ้าวิเทหะสวรรคต มโหสธบัณฑิตจึงตัดสินใจเดินทางไปรับราชการอยู่ประจำในราชสำนักของพระเจ้าจูฬนีแห่งเมืองปัญจาละ แต่ต้องประสบกับปัญหาในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการถูกเหล่าอำมาตย์อาวุโสคอยใส่ความอยู่เสมอ
มโหสธบัณฑิตได้ใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ และได้นางปริพาชิกาคนหนึ่งคอยช่วยเหลือจนทำให้ปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายไป
ต่อมานางปริพาชิกาคนนั้นได้ทูลขอให้พระเจ้าจูฬนีประกาศเกียรติคุณของมโหสธบัณฑิตให้ปรากฎในท่ามกลางมหาชนณฑิตให้ปรากฏในท่ามกลางมหาชน
โดยทำให้มหาชนเห็นความสำคัญของมโหสธบัณฑิตว่า
พระเจ้าจูฬนีทรงยอมสละชีวิตของพระมารดา พระเทวี พระราชโอรส พระสหาย ปุโรหิต
และชีวิตของพระองค์ได้ แต่จะไม่ยอมสละมโหสธบัณฑิตให้แก่ผีเสื้อน้ำ
ทำให้เกียรติคุณของมโหสธบัณฑิตแพร่ขจรไกลไปทั่วทุกทิศ มโหสธบัณฑิตรับราชการอยู่ประจำในราชสำนักของพระเจ้าจูฬนีท่ามกลางปัญหาและอุปสรรคนานัปการ
แต่ท่านก็ได้ใช้ปัญญาอันเฉลียวฉลาดแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีมาโดยลำดับ
เมื่อท่านสิ้นอายุแล้วจึงไปเกิดในเทวโลก
๖. ภูริทัตตชาดก
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญานาคชื่อภูริทัต
ได้ตั้งความปรารถนาอยากไปเกิดในเทวโลก
จึงไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่จอมปลวกแห่งหนึ่งในถิ่นมนุษย์ แต่ถูกพราหมณ์หมองูผู้รู้มนตร์อาลัมพายนะจับตัวไปเที่ยวแสดงละครหาเงินตามสถานที่ต่าง
ๆ ต่อมานาคพี่น้องชาย ๓
ตัวได้มาช่วยเหลือพญานาคภูริทัตให้รอดพ้นจากพราหมณ์หมองูไปได้
นาคพี่ชายมีความแค้นเคืองจึงคิดจะทำลายชีวิตพราหมณ์หมองูนั้น
แต่ถูกนาคน้องชายซึ่งกลัวตกนรกห้ามปรามไว้ เพราะพราหมณ์หมองูผู้น
ี้เป็นผู้รู้พระเวทและเป็นผู้สาธยายมนตร์ ใคร ๆ ไม่ควรทำลาย
พญานาคภูริทัตได้ชี้แจงให้นาคน้องชายได้ทราบว่า
ความเข้าใจเช่นนั้นเป็นความเข้าใจผิด
การปฏิบัติตามลัทธิของพราหมณ์เช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง พญานาคภูริทัตได้มุ่งมั่นรักษาอุโบสถศีลจนตลอดชีวิตแล้วจึงไปเกิดในเทวโลกตามความปรารถนาพร้อมด้วยบริษัทอีกเป็นจำนวนมาก
๗.
จันทกุมารชาดก
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระจันทกุมารราชโอรสของพระเจ้าเอกราชแห่งเมืองบุปผวดี
ถูกพราหมณ์ปุโรหิตชื่อขัณฑหาละ
ผู้มีจิตริษยาออกอุบายยุยงให้พระเจ้าเอกราชปลงพระชนม์เพื่อทำการบูชายัญด้วยสิ่งที่สละได้ยากแล้วไปเกิดในสวรรค์
พระเจ้าเอกราชทรงหลงเชื่อจึงรับสั่งให้จับพระจันทกุมารพร้อมด้วยคนอื่นอีกเป็นจำนวนมากแล้วให้นำไปมัดไว้ที่ปากหลุมบูชายัญ
แม้พระมเหสีจะทูลวิงวอนขอชีวิตพระจันทกุมาร แต่พระเจ้าเอกราชก็ไม่ทรงยินยอม
ท้าวสักกเทวราชจึงเสด็จลงมาช่วยชีวิตพระจันทกุมาร
และทรงตำหนิการกระทำของพระเจ้าเอกราชว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง เมื่อพระจันทกุมารทรงรอดพ้นจากความตายแล้ว
ประชาชนพากันรุมประชาทัณฑ์ขัณฑหาละปุโรหิตด้วยก้อนดินจนถึงแก่ความตาย
และปลดพระเจ้าเอกราชออกจากตำแหน่งพระราชาแล้วขับไล่ให้ไปเป็นคนจัณฑาลอยู่นอกเมือง
พร้อมทั้งอภิเษกพระจันทกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชย์ต่อไป พระจันทกุมารทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม
ทรงยึดมั่นอยู่ในกุศล
และเสด็จไปบำรุงพระบิดาซึ่งถูกขับไล่ให้ไปอยู่นอกเมืองเป็นประจำ
เมื่อสวรรคตแล้วจึงไปเกิดในสวรรค์
๘. มหานารทกัสสปชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นท้าวมหาพรหม ชื่อนารทะ เห็นพระราชธิดาพระนามว่า รุจาของพระเจ้าอังคติที่ทรงพยายามเปลื้องพระราชบิดาให้พ้นจากความเห็นผิด เพราะพระเจ้าอังคติทรงเชื่อถือคำสอนของคุณาชีวกที่ว่านรกไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดามารดาไม่มี บุญบาปไม่มี สัตว์จะดีจะชั่วก็ดีเอง ชั่วเอง จากนั้นพระองค์ทรงละเว้นการปฏิบัติพระราชกรณียกิจแล้วหันมาเสวยสุราเมรัยและบริโภคกามคุณอย่างเดียว พระราชธิดารุจาทรงพยายามชี้แจงให้เห็นว่า ความเชื่อเช่นนั้นเเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะนรกมี สวรรค์มี โลกนี้มี โลกหน้ามี บิดามารดามี บุญบาปมี ฯลฯ เพราะพระองค์เคยประสบมาแล้ว เมื่อพระเจ้าอังคติทรงสดับแล้วพอพระทัยในคำชี้แจงของพระราชธิดา แต่ยังหาคลายทิฏฐิไม่ พระราชธิดารุจาจึงได้ตั้งสัตยาธิษฐานให้สมณพราหมณ์หรือเทวดา พระอินทร์ พระพรหมลงมาช่วยเมื่อท้าวมหาพรหมทราบสัตยาธิษฐานแล้ว จึงลงมาแสดงโทษแห่งความเห็นผิดให้พระเจ้าอังคติสดับ ทำให้พระองค์ ๕ทรงคลายจากมิจฉาทิฏฐิแล้วทรงบำเพ็ญกุศลมีการให้ทานเป็นต้น และเมื่อสวรรคตแล้วจึงได้ไปเกิดในสวรรค์
๙. วิธุรชาดก
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอำมาตย์ชื่อวิธุระผู้สอนอรรถธรรมแด่พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะแห่งกรุงอินทปัตถ์
แคว้นกุรุ
พระนางวิมลาเทวีมเหสีของพญานาควรุณได้ฟังกิตติศัพท์ของวิธุรบัณฑิตแล้วอยากจะฟังธรรมของท่านจึงออกอุบายลวงพญานาคผู้สามีว่า
แพ้ท้องอยากกินหัวใจของวิธุรบัณฑิต พญานาควรุณจึงขอให้นางอิรันทดีบุตรีไปเที่ยวแสวงหาชายหนุ่มที่สามารถนำหัวใจของวิธุรบัณฑิตมายังนาคพิภพได้
แล้วจะยกนางให้เป็นภรรยา
ปุณณกยักษ์เสนาบดีผู้หลงรักนางอิรันทดีมาเป็นเวลานานได้ทราบข่าว
จึงรับอาสาจะไปนำหัวใจของวิธุรบัณฑิตมาให้ได้ จากนั้นจึงเหาะไปที่กรุงอินทปัตถ์
แล้วท้าพนันเล่นสกากับพระเจ้าธนัญโกรัพยะว่า ถ้าตนแพ้ก็จะยกลูกแก้ววิเศษให้
แต่ถ้าพระองค์แพ้ก็ต้องยกวิธุรบัณฑิตให้ข้าพระองค์
ผลการเล่นพนันสกาปรากฏว่าพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะทรงพ่ายแพ้จึงต้องยกวิธุรบัณฑิตให้แก่ปุณณกยักษ์เสนาบดีตามสัญญา
วิธุรบัณฑิตได้ขอร้องปุณณกยักษ์เสนาบดีให้พักอยู่ที่กรุงอินทปัตถ์ต่ออีกเป็นเวลา
๓ วัน เพื่อจะได้แสดงราชวสตีธรรม (คุณสมบัติของความเป็นข้าราชการที่ดี)
แก่บุตรธิดา วงศาคณาญาติและมิตรสหายที่กำลังรับราชการ หรือมีความประสงค์จะเข้ารับราชการในราชสำนักของพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ
เพื่อให้นำไปประพฤติปฏิบัติสำหรับเตรียมตัวเป็นข้าราชการที่ดีต่อไป เมื่อครบกำหนด
๓ วันแล้ววิธุรบัณฑิตจึงไปทูลลาพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ
ออกเดินทางไปกับปุณณกยักษ์เสนาบดี
ปุณณกยักษ์เสนาบดีให้วิธุรบัณฑิตจับหางม้าสินธพมโนมัยพาเหาะไปจนถึงกาฬคิรีบรรพตแล้วคิดหาอุบายต่าง
ๆ นานา ที่จะฆ่าวิธุรบัณฑิตแล้วควักเอาเฉพาะหัวใจไป
แต่วิธุรบัณฑิตได้แสดงสาธุนรธรรม
ให้ปุณณกยักษ์เสนาบดีฟังจนยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะฆ่า
จากนั้นจึงพาวิธุรบัณฑิตเหาะไปมอบแก่พญานาควรุณถึงนาคพิภพโดยปลอดภัย
วิธุรบัณฑิตได้แสดงธรรมแก่พญานาควรุณและพระนางวิมลาเทวี
ทำให้ทั้ง ๒ พระองค์ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก
จึงทำสักการะนานัปการแก่วิธุรบัณฑิตแล้วรับสั่งให้ปุณณกยักษ์เสนาบดีและนางอิรันทดีผู้ภรรยานำวิธุรบัณฑิตไปส่งที่กรุงอินทปัตถ์
แคว้นกุรุ พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะรับสั่งให้มีงานมหรสพที่กรุงอินทปัตถ์เป็นเวลา ๑
เดือน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการกลับมาของวิธุรบัณฑิต
วิธุรบัณฑิตได้แสดงธรรมแก่ประชาชน
ถวายอนุสาสน์แด่พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะให้บำเพ็ญบุญมีการให้ทานและรักษาศีลอุโบสถ
เป็นต้น จนตลอดชีวิตแล้วไปสู่เทวโลก
๑๐. เวสสันตรชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระองค์ประสูติในวันที่พระราชบิดาทรงทำประทักษิณพระนคร และพระราชมารดากำลังเสด็จชมร้านตลาด จึงทรงได้นามว่า เวสสันดร พระองค์ทรงพอพระทัยในการบริจาคทานโดยที่สุดแม้ร่างกายและชีวิตก็ทรงบริจาคให้เป็นทานได้ เมื่อพระเวสสันดรเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้วได้ทรงบริจาคพญาช้างปัจจัยนาคให้แก่พราหมณ์ ๘ คนที่มาทูลขอ ทำให้ชาวเมืองโกรธแค้นจึงรวมตัวกันขับไล่ให้ไปอยู่ที่เขาวงกต แต่ก่อนที่จะเสด็จไปก็ทรงบริจาคสัตตสดกมหาทาน แม้ในขณะที่กำลังเสด็จออกจากพระนคร มีผู้มาขอราชรถพร้อมทั้งม้าทรง พระองค์ก็ทรงบริจาคให้เป็นทานอีก
พระเวสสันดรทรงพาพระนางมัทรี พระโอรส และพระธิดา
ดำเนินด้วยพระบาทผ่านเมืองเจตราชไปถือเพศเป็นฤาษีอยู่ ณ บรรณศาลาที่เขาวงกต
เสวยผลหมากรากไม้เป็นอาหาร เวลาผ่านไป ๗ เดือน
พราหมณ์ขอทานชื่อชูชกได้เดินทางไปขอพระโอรสและพระธิดา คือ
ชาลีและกัณหาเพื่อนำไปเป็นทาสรับใช้ พระองค์ก็ทรงบริจาคให้
วันรุ่งขึ้นท้าวสักกเทวราชแปลงเพศเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี
พระองค์ก็ทรงบริจาคให้อีก
พราหมณ์ชูชกพา ๒ กุมาร เดินทางไปถึงเมืองเชตุดร
พระเจ้าสญชัยทรงเห็นเข้า จึงโปรดให้นำพระราชทรัพย์มาไถ่พระราชนัดดาทั้ง ๒ องค์ ไว้
ต่อมาได้ให้พระราชนัดดานำทางไปรับพระเวสสันดรกลับพระนคร
เมื่อพระเวสสันดรเสด็จกลับมาถึงพระนคร
ฝนแก้ว ๗ ประการได้ตกลงมาทั่วพระนคร พระองค์ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม
ทรงบริจาคมหาทานและรักษาอุโบสถตลอดพระชนมายุ
หลังจากสวรรคตแล้วจึงไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิต
สรุปชาดก
เรื่องในชาดกทั้งหมดเป็นเรื่องที่กล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาตินั้นๆ
บารมีที่บำเพ็ญนั้นคือ ทานบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี
สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี รวมเรียกว่าบารมี ๓๐ (๓ x ๑๐)
โดยแบ่งเป็นบารมีชั้นธรรมดา ๑๐ (บารมี) บารมี ชั้นกลาง ๑๐ (อุปบารมี) และ
บารมีชั้นสูง ๑๐ (ปรมัตถบารมี) รวมเป็นบารมี ๓๐ ประการ
ในอรรถกถาจริยาปิฎกพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๓๓ ได้จัดชาดกเรื่องต่างๆ ลงในบารมีทั้ง ๓๐ ประการ
มีนัยโดยสังเขปที่น่าศึกษา ดังนี้
๑. ทานบารมี
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ยทานบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสีวิราช (๒๗/๔๙๙)
ทรงบำเพ็ญทานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร (๒๘/๕๔๗)
และทรงบำเพ็ญทานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกระต่ายป่าสสบัณฑิต (๒๗/๓๑๖)
๒. ศีลบารมี
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญศีลบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉัตทันต์เลี้ยงมารดา
(๒๗/๗๒) ทรงบำเพ็ญศีลอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญานาคภูริทัต (๒๘/๕๔๓)
๓. เนกขัมมบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นอโยฆรราชกุมาร (๒๗/๕๑๐) ทรงบำเพ็ญเนกขัมมอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นหัตถิปาลกุมาร (๒๗/๕๐๙) และทรงบำเพ็ญเนกขัมมปรมัตถบารมี ในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจูฬสุตโสม (๒๗/๕๒๗)
๔. ปัญญาบารมี
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นสัมภวกุมาร (๒๗/๕๑๕)
ทรงบำเพ็ญปัญญาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นอำมาตย์วิธุรบัญฑิต (๒๘/๕๔๖)
และทรงบำเพ็ญปัญญาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นเสนกบัณฑิต (๒๗/๔๐๒)
๕. วิริยบารมี
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญวิริยบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญากปิ (๒๗/๕๑๖)
ทรงบำเพ็ญวิริยอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสีลวมหาราช (๒๗/๕๑)
และทรงบำเพ็ญวิริยปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก (๒๘/๕๓๙)
๖. ขันติบารมี
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญขันติบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นจูฬธัมมปาลราชกุมาร
(๒๗/๓๕๘) ทรงบำเพ็ญขันติอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นธัมมิกเทพบุตร (๒๗/๔๕๗)
และทรงบำเพ็ญขันติปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นขันติวาทีดาบส (๒๗/๓๑๓)
๗. สัจจบารมี
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญสัจจบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นวัฏฏกะ (ลูกนกคุ่ม (๒๗/๓๕)
ทรงบำเพ็ญสัจจอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาปลาช่อน (๒๗/๗๕)
และทรงบำเพ็ญสัจจปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้ามหาสุตโสม (๒๘/๕๓๗)
๘. อธิษฐานบารมี
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญากุกกุระ (๒๗/๒๒)
ทรงบำเพ็ญอธิษฐานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นมาตังคบัณฑิต (๒๗/๔๙๗)
และทรงบำเพ็ญอธิษฐานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเตมิยราชกุมาร (๒๘/๕๓๘)
๙. เมตตาบารมี
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นสุวรรณสามดาบส (๒๘/๕๔๐)
ทรงบำเพ็ญเมตตาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกัณหาทีปายนดาบส (๒๗/๔๔๔)
และทรงบำเพ็ญเมตตาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าเอกราช
๑๐.
อุเบกขาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกัจฉปบัณฑิต
(๒๗/๒๗๓) ทรงบำเพ็ญอุเบกขาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญามหิส (๒๗/๒๗๘)
และทรงบำเพ็ญอุเบกขาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นโลมหังสบัณฑิต (๒๗/๙๔)
หมายเหตุ
เลขหน้าเป็นลำดับเล่มพระไตรปิฎก เลขหลังเป็นลำดับชาดก เช่น (๒๗/๒๗๓) หมายถึง
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ ชาดกเรื่องที่ ๒๗๓)
การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติหนึ่ง ๆ มิใช่ว่าจะทรงบำเพ็ญบารมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ทรงบำเพ็ญทานบารมี หรือทรงบำเพ็ญศีลบารมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในชาติเดียวกันนั้น ได้บำเพ็ญบารมีหลายอย่างควบคู่กันไป แต่อาจเด่นเพียงบารมีเดียว ที่เหลือนอกนั้นเป็นบารมีระดับรอง ๆ ลงไป เช่น ในชาติที่เป็นพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมีครบทั้ง ๑๐ บารมี คือ เมื่อพระเวสสันดรประสูติได้ไม่นาน พระองค์ได้กราบทูลพระมารดาว่า จะให้ทาน ขณะมีพระชนมายุได้ ๘ พรรษา ทรงดำริที่จะบริจาคอวัยวะทั้งหมดให้เป็นทาน (อัชฌัตติกทาน) เมื่อเสวยราชสมบัติแล้วได้รับพระราชทานพญาช้างปัจจัยนาคราชแก่พวกพราหมณ์ และทรงบริจาคสัตตสดกมหาทาน ต่อมาเมื่อถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่เขาวงกตก็ได้ทรงบริจาคพระโอรส พระธิดา และมเหสี และเมื่อเสด็จกลับมาครองราชสมบัติอีกก็ได้บริจาคทานตลอดพระชนมายุ การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นทานบารมี
ในฐานะเป็นฆราวาส พระเวสสันดร สมาทานรักษาเบญจศีลเป็นนิตย์ และทรงสมาทานรักษาอุโบสถศีลทุกวันอุโบสถกึ่งเดือน การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นศีลบารมี
ขณะที่ถือเพศเป็นดาบสอยู่ที่เขาวงกต พระเวสสันดรทรงละกามคุณอย่างเด็ดขาด การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นเนกขัมมบารมี การดำริที่จะบริจาคอวัยวะทั้งหมดให้เป็นทานก็ตาม การบรรเทาความเศร้าโศกอันเกิดจากการบริจาคพระโอรส พระธิดาด้วยปัญญาก็ตาม การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นปัญญาบารมี
ขณะที่ทรงครองราชสมบัติ
พระองค์ได้เสด็จออกโรงทานทั้ง ๖ แห่ง ทุกกึ่งเดือน
และขณะที่ทรงถือเพศเป็นดาบสอยู่ที่เขาวงกตนั้น พระองค์ทรงตั้งพระทัยบูชาเพลิง
และบำเพ็ญเตโชกสิณอยู่เป็นนิตย์ การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นวิริยบารมี
เมื่อพระราชบิดาทรงเนรเทศให้ออกจากพระนครตามความประสงค์ของชาวเมือง
และเมื่อพราหมณ์ชูชกเฆี่ยนตีพระโอรสพระธิดา ณ เบื้องพระพักตร์
พระองค์ก็ทรงอดกลั้นความรู้สึกเหล่านี้ได้
การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นขันติบารมี
พระเวสสันดรทรงปฏิญาณที่จะบริจาคอวัยวะทั้งหมดและพระโอรสพระธิดาให้เป็นทาน การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นสัจจบารมีเมื่อทรงปฏิญาณอย่างแน่วแน่ ไม่ทำความอาลัยในพระโอรสพระธิดาที่จะทรงบริจาคให้เป็นทาน แม้จะทรงสะดุ้งกลัวต่อเสียงตำหนิติเตียนของหมู่เสวกามาตย์จนต้องเสด็จขึ้นไปบนภูเขา แต่เมื่อพระนางมัทรีเสด็จขึ้นไปปลอบแล้ว พระองค์ก็ทรงอธิษฐานใจอย่างมั่นคง การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นอธิษฐานบารมี
การแผ่เมตตาให้แก่ชาวกาลิงคราษฎร์ที่มาขอพระราชทานพญาช้างปัจจัยนาคก็ตาม
การแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่เป็นนิตย์ในระหว่างทรงถือเพศเป็นดาบสประพฤติพรหมจรรย์อยู่ที่เขาวงกตก็ตาม
การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นเมตตาบารมี
พระเวสสันดรทรงตัดความเสน่หาในพระโอรสพระธิดาโดยมิได้โกรธแค้นพราหมณ์ชูชกที่มาขอ
พร้อมทั้งทรงตั้งพระทัยเป็นกลางโดยมิได้รักหรือชังผู้ใด
การบำเพ็ญบารมีในส่วนนี้จัดเป็นอุเบกขาบารมี
:บารมี
๓๐ ประการนี้เป็นขุมทรัพย์ในชาดก:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น