พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชสมบัตินานถึง
๔๒ ปี ซึ่งนับว่านานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดของไทยในอดีต ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่
๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน สิริรวมพระชนมพรรษาได้ ๕๘ พรรษา
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานแห่งการครองราชย์ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรือง
ให้แก่ประเทศชาติอย่างหาที่เปรียบมิได้ อย่างไรก็ดี
ในที่นี้จะเสนอพระราชดำริพระบรมราโชบายและพระราชกรณียกิจ
เฉพาะในส่วนแห่งการพระศาสนา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระราชศรัทธาอันมั่นคง
เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่มหาชนชาวสยามตลอดกาลนาน
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓) รัชกาลที่
๕ แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ แม้ว่าจะทรงมีพระราชภารกิจทางด้านการปรับปรุงประเทศอยู่มากแล้วก็ตาม
แต่ก็ทรงมีพระราชศรัทธาอันแรงกล้า
ในการที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ดังจะเห็นได้จาก พระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
"เมื่อข้าพเจ้าได้ดำรงสิริราชสมบัติแล้ว
ก็ตั้งใจทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและทำนุบำรุงพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวงอยู่เป็นนิจ…
ข้าพเจ้าอาจปฏิญาณใจได้ว่า ถ้าชีวิตข้าพเจ้ายังอยู่ตราบใด
แลข้าพเจ้าคงคิดจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอยู่เป็นนิจ" และอีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า
ซึ่งจะต้องทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งคู่กับพระราชอาณาจักร
ให้ดำเนินไปในทางวัฒนาการพร้อมกันทั้งสองฝ่าย" การที่รัชกาลที่ ๕
ทรงมีพระราชศรัทธาอันแรงกล้าที่จะทำนุบำรุงพระศาสนาให้เจริญก้าวหน้า
ดังพระราชดำรัสนั้น คงสืบเนื่องจากการที่ทรงยืดถือปฏิบัติตามกฎ
ที่มีอยู่ในพระธรรมศาสตร์ ถือว่าพระมหากษัตริย์มีหน้าที่
ทรงเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปภถัทมภก เช่นเดียวกับพระบูรพ
กษัตริย์
ซึ่งปฏิบัติสืบต่อกันมา รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในลักษณะต่างๆ
ดังนี้
ใน พ.ศ. ๒๔๑๖ ในขณะที่พระองค์เสวยราชสมบัติ แม้จะทรงมีพระราชกรณียกิจเป็นอันมาก
ก็ยังได้พระราชอุตสาหะเสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุสืบอายุพระพุทธศาสนา
และได้ทรงจัดการบวชพระภิกษุทุกปีมิได้ขาด แสดงถึงความมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ โปรดฯ ให้ชำระพระไตรปิฎกและพิมพ์เป็นอักษรไทย เรียกว่า
"พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์" นับเป็นครั้งแรกที่มีการตีพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นอักษรไทย
การจัดพิมพ์พระไตรปิฎกในครั้งนั้น รัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานพระราชทรัพย์จำนวน ๑,๐๐๐ ชั่ง
เป็นค่าจ้างพิมพ์พระไตรปิฎกจำนวน ๑,๐๐๐ จบ และโปรดเกล้าฯ ให้แจกจ่ายไปตามพระอารามต่างๆ
ทั่วประเทศเป็นผลให้เหล่าพระสงฆ์ได้อาศัยพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ เป็นแนวทางในการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมจนกระทั่งปัจจุบัน
และได้พระราชทานไปยังสถานศึกษา ในต่างประเทศอีกหลายแห่ง
ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญแพร่หลายในต่างประเทศด้วย
ต่อมาใน
พ.ศ. ๒๔๔๕รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ เพื่อจัดสังฆมณฑลให้เป็นระเบียบเรียบร้อยทั่วพระราชอาณาจักร
ด้วยทรงมีพระราชดำริว่า ถ้าการปกครองสังฆมณฑลเป็นไปเป็นระเบียบแบบแผนอันเรียบร้อย
พระศาสนาก็รุ่งเรืองถาวร ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๔๕
แสดงให้เห็นถึงพระบรมราโชบายของรัชกาลที่ ๕ ในการนำหลักการสมัยใหม่มาใช้กับการปกครองคณะสงฆ์
ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน กล่าวคือ
มอบอำนาจบริหารให้แก่มหาเถรสมาคมในอันที่จะปกครองตัดสินข้อขัดแย้งและเป็นองค์ปรึกษา
แก่สังฆมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร คำตัดสิน ของมหาเถรสมาคมนั้นให้ถือเป็นสิทธิขาด
ส่วนการปกครองคณะสงฆ์ได้จัดอนุโลมตามวิธีปกครองพระราชอาณาจักรคือมีเจ้าคณะมณฑล
เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง และอธิการหมวด บังคับบัญชาในมณฑล เมือง แขวง ตำบล และวัด
ให้ขึ้นตรงต่อกันโดยลำดับ
กำหนดหน้าที่แต่ละตำแหน่งไว้โดยละเอียดชัดเจนเป็นอำนาจถอดถอน บำรุงรักษา
สั่งสอนกุลบุตรตลอดจนเผยแพร่ศาสนา ทำให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
คือเกิดเอกภาพทางบริหาร ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกัน
และสอดคล้องกับการจัดรูปการปกครองของฝ่ายพระราชอาณาจักรในสมัยนั้น
นอกจากนี้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๔๕ ยังแสดงให้เห็นถึง
พระบรมราโชบายของรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเห็นคุณค่าของการศึกษาในวัด
ในพระราชบัญญัติกำหนดให้พระสงฆ์ตั้งแต่ชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดไว้ประการหนึ่งว่า
ต้องมีหน้าที่บำรุงการศึกษาด้วย จากพระบรมราโชบายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าทรงดำเนินการใหสอดคล้องกับประกาศเรื่องจัดการศึกษาเล่าเรียนในหัวเมืองใน
พ.ศ. ๒๔๔๑ (ร.ศ. ๑๑๗ ) ซึ่งกำหนดให้มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นตามวัดต่างๆ
มีพระภิกษุเป็นผู้อบรมสั่งสอน และเพื่อให้การจัดการศึกษาในหัวเมืองดำเนินไปด้วยดี
รัชกาลที่ ๕ จึงได้ทรงพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้จัดการตีพิมพ์หนังสือแบบเรียนหลวง ทั้งส่วนที่จะสอนธรรมปฏิบัติ
และวิชาความรู้อย่างอื่นเป็นอันมากเพื่อจะพระราชทานแก่พระภิกษุทั้งหลายไว้สำหรับฝึกสอนกุลบุตรทั่วไป
และทรงมอบหน้าที่ให้สมเด็จพระมหามณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสและสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นผู้ดำเนินการจัดการศึกษาหัวเมืองดังกล่าว
ดังนั้น การที่รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นในวัดตามหัวเมืองต่างๆ
เท่ากับเป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญแพร่หลาย
และเป็นการวางรากฐานโรงเรียนหัวเมืองในปัจจุบันด้วย แต่การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมุ่งที่จะให้พระสงฆ์มีบทบาทในการบำรุงส่งเสริมการศึกษาของชาตินั้น
ก็มีอุปสรรคอยู่บ้าง กล่าวคือ
พระสงฆ์บางกลุ่มยังไม่ยอมรับวิธีการอบรมสั่งสอนแบบใหม่
เป็นเหตุให้งานด้านการศึกษาของราษฎรซึ่งรวมอยู่กับการศึกษาของคณะสงฆ์ เจริญก้าวหน้าไปกว่าเท่าที่ควรจะเป็น
ทั้งๆ ที่การบำรุงการศึกษาของราษฎรโดยเสมอภาคนั้น
เป็นจุดประสงค์อันแท้จริงที่ทรงยึดถือมาตลอดรัชกาล ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
"เจ้านายราชตระกูลนั้นตั้งแต่ลูกฉันเป็นต้นลงไป
ตลอดจนถึงราษฎรที่ต่ำที่สุดจะให้ได้โอกาศเล่าเรียนได้เสมอกันไม่ว่าเจ้าว่าขุนว่าไพร่
เพราะฉะนั้นจึงขอบอกไว้ว่า การเล่าเรียนในเมืองเรานี้จะเป็นของสำคัญที่หนึ่ง
ซึ่งฉันจะอุตส่าห์จัดให้เจริญขึ้นจงได้"
พระบรมราโชยายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับพระสงฆ์
นอกจากการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๔๕ แล้ว
ยังได้ทรงตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์ ทั้งฝ่ายมหานิกาย และธรรมยุติกนิกาย
เพื่อให้เกิดความเสมอภาคแก่สงฆ์ทั้งสองฝ่าย พระองค์ทรงสถาปนา "มหา
มกุฏราชวิทยาลัย" ขึ้นที่วัดบวรนิเวศวิหาร
สำหรับเป็นที่ศึกษาของสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย และเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระราชบิดา
ส่วนอีกสถานหนึ่ง เป็นที่เล่าเรียนของสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งที่วัดมหาธาตุ เรียกว่า
"มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" เพื่อเฉลิมพระเกียรติของพระองค์เอง
สถาบันการศึกษาทั้งสองแห่งดังกล่าว
ในปัจจุบันยังคงดำเนินการส่งเสริมการศึกษาของสงฆ์ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย
นับเป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนาอีกวิธีหนึ่ง พระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นยังได้แสดงออกให้เห็นจากการสร้างและปฏิสังขรณ์วัดจำนวนมากมาย
ทั้งในกรุงและหัวเมือง เช่น พ.ศ. ๒๔๔๒ โปรดฯ ให้สร้างวัดเบญจมบพิตร
และทรงประกาศมอบวัดให้เป็นที่ประกอบกิจของสงฆ์ และโปรดฯ
ให้สร้างวัดขึ้นในโอกาสต่าง ๆ กันเช่น สร้างวัดเทพศิรินทราวาส
เพื่ออุทิศถวายพระราชชนนี ทรงให้สร้างวัดราชบพิธ
ขึ้นเป็นพระอารามหลวงประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๒
ทรงให้สร้างวัดนิเวศน์ธรรมประวัติขึ้นที่พระราชวังบางปะอิน
และเอาพระทัยใส่ในการบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดเป็นอันมาก
ดังจะเห็นได้จากจดหมายโต้ตอบเกี่ยวกับการบูรณะวัดระหว่างพระองค์กับพระมหสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส
โดยทรงเป็นผู้กำหนดกะเกณฑ์ลักษณะสิ่งของต่างๆ ที่จะใช้ในการซ่อมแซมด้วยพระองค์เอง
เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเอาพระทัยใส่ในการพระศาสนา
เพราะทรงมุ่งหมายจะให้วัดเป็นสถานศึกษาและเป็นแหล่งสืบอายุพระพุทธศาสนาดังกล่าวแล้ว
การพระราชกุศลที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนานั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินมาทุกปีมิได้ขาด
เช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ เช่น
ทรงทอดพระกฐินและทรงบำเพ็ญการพระราชกุศลต่างๆ
ส่วนการพระศาสนาในต่างประเทศนั้นพระองค์ทรงใฝ่พระทัยอยู่เป็นนิจเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔
พระองค์ได้เสด็จประพาสถึงดินแดนมอญ พม่า อินเดีย
ได้เสด็จนมัสการบริโภคเจดีย์เดิมที่มฤคทายวัน ได้ทรงนำศาสนวัตถุและภาพพระพุทธเจดีย์มาสู่พระราชอาณจักร
และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ มาควิส เคอร์ซัน อุปราชของประเทศอินเดีย
เห็นว่าพระองค์ทรงดำรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภก จึงทูลเกล้าฯ
ถวายพระบรมสารีริกธาตุครั้งนั้น ประเทศใกล้เคียงเช่น ญี่ปุ่น พม่า และลังกา
ต่างก็แต่งทูตเข้ามาขอพระบรมสารีริกธาตุพระองค์ ก็ทรงแบ่งพระราชทานตามประสงค์เป็นผลให้ความสัมพันธ์กับต่างประเทศมั่นคงขึ้น
การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาดังกล่าวแล้วถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง
แต่ก็เป็นผลดีต่อประเทศทุกด้านทั้งฝ่ายสงฆ์ และฆราวาส จุดเด่นประการสำคัญที่ช่วยทำให้การทำนุบำรุงประพุทธศาสนาได้รับความสำเร็จ
กล่าวคือ
การที่พระลาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเอาพระทัยใส่และติดตามผลเรื่อยมา
ทั้งยังได้ทรงเชิญชวนพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ประชาชนทั่วไป
ใหช่วยกันมีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นผลให้พระพุทธศาสนาเจริญสืบทอดจนถึงทุกวันนี้
คณาจารย์-เจ้าหน้าที่ มจร. : "๕๐ ปี อุดมศึกษา มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (พ.ศ.
๒๔๙๐-๒๕๔๐)" พ.ศ. ๒๕๔๐, หน้า
๓ -๙)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น