ธรรมนิเทศ เป็นกระบวนการแสดงธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการประกาศพระพุทธศาสนา
ทำให้พระพุทธศาสนาประดิษฐานมั่นคงจนถึงปัจจุบัน ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
การเผยแผ่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปสู่ประชาชนทั่วไป
มักพบกับปัญหาในเรื่องของการสื่อความ
จนกระทั่งเกิดการแบ่งแยกระหว่างภาษาพระกับภาษาชาวบ้าน ซึ่งดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่พอควร
ในอดีตนักปราชญ์ผู้มองเห็นปัญหาความยุ่งยากในการตีความคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งมีความเป็นนามธรรมขั้นสูง จึงหาวิธีการต่างๆ
มาช่วยอธิบายความให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายขึ้น สามารถมองเห็นเป็นรูปธรรม
และสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน จึงเกิดผลงานวรรณกรรมสร้างสรรค์หลายเรื่อง
เช่น ไตรภูมิพระร่วง สุภาษิตพระร่วง มหาชาติคำหลวง
หรือใช้วิธีเล่าเรื่องผ่านตัวละครประกอบการแสดงการเล่นต่างๆ
รวมทั้งผูกเรื่องเป็นนิยายและนิทานที่แฝงไว้ด้วยธรรมคติ
เพื่อนำเสนอข้อคิดสอนใจชาวบ้านให้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีมีศีลมีธรรมลักษณะของจารึกเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม
จารึกอักษรขอมอยู่ภายในกรอบแสดงการสะกดคำในแม่ก กา เรียงลำดับอยู่ตามช่องตาราง
มีอักษรไทยอธิบายไว้ตอนบน ด้านข้างและด้านหลัง จารึกแม่อักษรหรือแบบแจกอักษรนี้
คือ ตำรา หรือแบบเรียนหนังสือชั้นต้นของคนไทยในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๓ สำหรับผู้ที่เริ่มเรียนสระและพยัญชนะ
แบบเรียนหนังสือชั้นต้นนี้ในคำอธิบายที่เขียนด้วยรูปอักษรไทย ภาษาไทย ระบุไว้ว่า
สำหรับสามเณรและพระภิกษุที่ยังไม่แตกฉานในหนังสือจะได้เล่าเรียนศึกษา
เพื่ออ่านคัมภีร์พระพุทธศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่สมัยนั้นเขียนด้วยรูปอักษรขอมและในด้านที่
๒ ของจารึกระบุไว้ว่า สมเด็จพระราชโอรสาธิราชเจ้า
ทรงพระนามเจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐา สุริยวงษ์ ได้เสวยราชย์พระราชวังบวรสถานมงคล
ทรงแต่งแม่อักษรขอมขุดปรอทนี้ไว้สำหรับพระพุทธศาสนาฉะนั้น
ผู้เข้ามาบวชเรียนจึงเป็นหลักในการช่วยรักษาและสืบทอดพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาประดิษฐานมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้

หากมีแต่การรักษาและสืบทอดจากผู้เข้ามาบวชเรียนเพียงฝ่ายเดียว
คงจะไม่ประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคตพุทธศาสนิกชนทุกฝ่ายควรจะเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานร่วมกัน
ไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม เช่นร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา
หมั่นรักษาศีลและปฏิบัติธรรม
ด้วยสำนึกในหน้าที่ของการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีบทเรียนจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย
สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้เป็นอย่างดีการที่พระพุทธศาสนาได้รับการสืบทอดมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้
ก็เพราะมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรมอันประเสริฐเมื่อเข้าสู่ยุคกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้ารัชกาลที่
๓พระองค์ผู้ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา
จึงทรงดำเนินนโยบายขยายโอกาสทางการเรียนรู้ไปสู่ประชาชนทุกระดับ โดยโปรดฯ
ให้จารึกสรรพตำราในศาสตร์สาขาต่างๆ ลงในแผ่นหินอ่อนแล้วนำไปประดิษฐานไว้ตามศาลาราย
และสถานที่อื่นๆ ภายในวัดพระเชตุพนฯ
เพื่อให้วัดเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ในสรรพวิชาการวัดพระเชตุพนฯ
จึงได้รับการขนามนามว่า “มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของประเทศไทย”
บรรดาประชาชนผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้วิชาการต่างๆ ภายในวัดก็ได้มีส่วนร่วมรักษาและสืบทอดพระพุทธศาสนาไปโดยปริยายหากมองย้อนกลับไปครั้งพุทธกาล
หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วพระองค์ผู้ทรงมีสายพระเนตรอันกว้างไกล
ผู้ทรงเห็นคุณประโยชน์ของการขยายโอกาสทางการเรียนรู้พระสัทธรรมไปสู่ชาวโลก
ด้วยทรงพิจารณาเห็นว่าบุคคลผู้มีปัญญามีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยอาจเสื่อมถอยปัญญาเพราะไม่ได้ฟังธรรม
เมื่อมีพระอรหันตสาวกพอสมควรแล้วพระองค์จึงทรงเริ่มวางหลักการสำคัญในการประกาศพระศาสนาไว้แก่พระอรหันตสาวก
๖๐ รูป ก่อนส่งไปประกาศพระศาสนา ด้วยพระพุทธพจน์ที่จำเป็นหลักสำคัญสืบมาว่า “จรถ
ภิกขเว จาริกํ พหุชนหิตาย
พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย"
ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมากเพื่อเกื้อการุณย์แก่ชาวโลกการเริ่มงานประกาศพระศาสนาครั้งนั้น
ส่งผลให้มีพระสงฆ์สาวกเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามลำดับและมีผู้เลื่อมใสศรัทธาอีกเป็นจำนวนมาก
สมัยนั้นมีผู้นับถือพระพุทธศาสนา จัดเป็น ๔ กลุ่ม เรียกว่า“บริษัท ๔”
หรือชุมชนชาวพุทธ ประกอบด้วย
๑) ภิกษุบริษัท ได้แก่ ชุมชนภิกษุ หรือชุมชนชาวพุทธฝ่ายภิกษุ
๒) ภิกษุณีบริษัท ได้แก่ ชุมชนภิกษุณี
หรือชุมชนชาวพุทธฝ่ายภิกษุณี
๓) อุบาสกบริษัท ได้แก่ ชุมชนอุบาสก
หรือชุมชนชาวพุทธฝ่ายชายที่แสดงตนเป็นคน
นับถือพระพุทธศาสนาโดยประกาศถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
๔) อุบาสิกาบริษัท ได้แก่
ชุมชนอุบาสิกา หรือชุมชนชาวพุทธฝ่ายหญิงที่แสดงตน
เป็นคนนับถือพระพุทธศาสนาโดยประกาศถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะนอกจากนี้
พระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตการบรรพชาแก่ผู้เยาว์ที่อายุยังไม่ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ถ้าเป็นผู้ชายให้บรรพชาเป็นสามเณร
ส่วนผู้หญิงให้บรรพชาเป็นสามเณรสำหรับในส่วนของศาสนธรรม
ได้ทรงวางหลักเกณฑ์การศึกษาและการปฏิบัติทั้งในส่วนคันถธุระ คือ
ธุระด้านการศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์หรือกิจพระศาสนาในด้านการศึกษาปริยัติธรรมและวิปัสสนาธุระ
คือ ธุระด้านการเจริญวิปัสสนาหรือกิจพระศาสนาในด้านการบำเพ็ญกรรมฐานเพื่อความเป็นระเบียบแบบแผนให้ผู้ถือปฏิบัติสามารถเข้าถึงพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาตั้งแต่ขั้นต้นไปจนถึงขั้นสูงสุด
ศาสนธรรมจัดเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๑.พระธรรม ได้แก่ คำสอนที่แสดงหลักความจริง และแนะนำความประพฤติ
คำสอนซึ่งขัดเกลากาย วาจา ใจ
ของผู้ปฏิบัติให้บริสุทธิ์ตามควรแก่ข้อปฏิบัติและให้ผู้ปฏิบัติมีความสุขความเจริญ หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น ฉะนั้น ธรรมะจึงเป็นเครื่องควบคุมใจ ๒.พระวินัย ได้แก่
บทบัญญัติกำหนดระเบียบความเป็นอยู่และกำกับความประพฤติระเบียบแบบแผนสำหรับฝึกฝนควบคุมความประพฤติของบุคคล
ให้มีชีวิตที่ดีงาม เจริญก้าวหน้าและควบคุมหมู่ชนให้อยู่ร่วมกันด้วยความเรียบร้อยดีงาม
หรือประมวลบทบัญญัติข้อบังคับสำหรับฝึกฝนควบคุมความประพฤติ ฉะนั้น
วินัยจึงเป็นเครื่องควบคุมกายและวาจาวินัยมี ๒ อย่าง คือ
๑.อนาคาริยวินัย” ได้แก่ วินัยของผู้ไม่ครองเรือน คือ
วินัยของบรรพชิต หรือวินัย(ของพระสงฆ์ ได้แก่ การไม่ต้องอาบัติทั้ง ๗ หรือ
ปาริสุทธิ๕ ๒.อาคาริยวินัย ได้แก่ วินัยของผู้ครองเรือน คือ
วินัยของชาวบ้าน ได้แก่ การงดเว้นจากอกุศลกรรมบถ ๑๐ธรรมวินัย คือ
คำสั่งสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า ซึ่งประกอบด้วย ธรรมะ คือ
คำสอนแสดงหลักความจริงและแนะนำความประพฤติ และวินัย คือ
บทบัญญัติกำหนดระเบียบความเป็นอยู่และกำกับความประพฤติ
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักพระธรรมวินัยนี้แก่บรรดาบริษัททั้งสี่
จนมีผู้สามารถปฏิบัติตามได้ มีดวงตาเห็นธรรม และบรรลุธรรมตามลำดับ
พุทธกิจที่ทรงบำเพ็ญตลอด๔๕ พรรษา
ได้ยังประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกอย่างมากมายมหาศาล
ครั้นใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ทรงรับสั่งให้พระอานนท์เข้าเฝ้า
แล้วตรัสแก่พระอานนท์ว่า
“เมื่อเราตถาคตปรินิพพานล่วงไปแล้วพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดาแห่งท่านทั้งหลาย
ฉะนั้น พระธรรมกับพระวินัยรวมกันจึงเรียกว่า “พระพุทธศาสนาอย่างไรก็ตาม
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคต่อๆ
มามักมีข้อจำกัดในเรื่องรูปแบบและวิธีการเผยแผ่ที่ยังไม่สามารถกระทำได้อย่างหลากหลายเพราะส่วนหนึ่งจะต้องดำรงรักษาระเบียนแบบแผนดั้งเดิมที่ถือปฏิบัติมาแต่โบราณ
และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นไปตามความเลื่อมใส
ความหมายของธรรมนิเทศ การพิจารณาความหมายของธรรมนิเทศ
ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจกับคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องด้วยการแยกพิจารณาเป็น ๓ ส่วน
คือ ส่วนที่ ๑ ได้แก่ คำว่า “ธรรม” ส่วนที่ ๒ ได้แก่ คำว่า“นิเทศ”และส่วนที่
๓ ได้แก่ คำว่า “ธรรมนิเทศ” เมื่อได้แยกพิจารณาอย่างนี้แล้ว
จะช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจความหมายของการใช้คำศัพท์ทั้งสามส่วนนั้นได้ชัดเจนขึ้น
และช่วยสะท้อนให้เห็นความเป็นมาของการใช้คำจนสามารถบูรณาการความหมายของธรรมนิเทศได้อย่างสอดคล้องกับเนื้อหาวิชาดังนี้
๑) ธรรม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้คำจำกัดความไว้หลายนัย
พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบความหมายไว้ด้วย ดังนี้
- คุณความดี เช่น
เป็นคนมีธรรมะเป็นคนมีศีลมีธรรม
- คำสั่งสอนในศาสนา เช่น แสดงธรรม
ฟังธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้า
- หลักประพฤติปฏิบัติในศาสนา เช่น
ปฏิบัติธรรมประพฤติธรรม
- ความจริง เช่น ได้ดวงตาเห็นธรรม
- ความยุติธรรม, ความถูกต้อง เช่น
ความเป็นธรรมในสังคม
- กฎ, กฎเกณฑ์ เช่น ธรรมะแห่งหมู่คณะ
- กฎหมาย เช่น ธรรมะระหว่างประเทศ
- สิ่งทั้งหลาย, สิ่งของ เช่น
เครื่องไทยธรรม
การนำความหมายของคำนี้ไปใช้จึง
กับจุดมุ่งหมายและบริบทแวดล้อมว่า จะให้บ่งชี้ความหมายไปในทิศทางใด หรือมีเจตนาจะสื่อให้ผู้รับสารทราบความหมายเกี่ยวกับเรื่องใดเป็นหลัก
เช่น สื่อความหมายเรื่องคุณความดีของบุคคล ก็จะนิยมนำไปกล่าวขานเป็นความชื่นชมยินดีว่าเขาเป็นคนดีมีศีลมีธรรม
ในปัจจุบันยังนิยมนำคำนี้ไปใช้เพื่อสื่อความหมายเกี่ยวกับหลักการปกครอง ที่เรียกว่า
“หลักธรรมาภิบาล” พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)
ได้รวบรวมความหมายของคำว่า “ธรรม” ไว้ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
ดังนี้“สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง, เหตุ,
ต้นเหตุ, สิ่ง,ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด, คุณธรรม, ความดี,
ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ,หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่, ความชอบ,
ความยุติธรรม, พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น” ฉะนั้น
ความหมายของคำว่า “ธรรม”
ที่สอดคล้องเหมาะสมกับประเด็นศึกษาในที่นี้ก็คือคำสั่งสอนในศาสนา
หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น
ทั้งในส่วนที่เป็นโลกียธรรม คือ ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก และโลกุตตรธรรม คือ
ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก
๒) นิเทศ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้คำจำกัดความว่า“นิเทศ” ใช้เป็นคำนามมีความหมายว่า คำแสดง คำจำแนกออก
หากใช้เป็นคำกริยาจะหมายถึงชี้แจง แสดง จำแนก คำนี้ภาษาบาลีใช้คำว่า “นิทเทส”
และภาษาสันสกฤตใช้คำว่า “นิรุเทศ” มีความหมายเช่นเดียวกัน
ผู้ศึกษาจะพบตัวอย่างการใช้คำนี้ในภาษาไทยอยู่มากพอสมควร
โดยนำไปใช้ร่วมความกับคำอื่น เพื่อให้เกิดความหมายใหม่และเหมาะกับการนำไปใช้งาน
เช่น นิเทศศาสตร์(น.วิชาว่าด้วยการสื่อสารมวลชน และการประชาสัมพันธ์),
ศึกษานิเทศก์ (น. ผู้ชี้แจงแนะนำการศึกษาแก่ครูอาจารย์ในโรงเรียนหรือวิทยาลัย),
ปฐมนิเทศ (น. การแนะนำชี้แนวเพื่อการศึกษาและการทำงานในเบื้องต้น) เป็นต้น
๓) ธรรมนิเทศ
เป็นคำที่เกิดจากวิธีสร้างคำในภาษาไทยด้วยการสมาส คือ
นำคำที่มีใช้อยู่แล้วมารวมกันเพื่อให้เกิดความหมายใหม่ตามความต้องการของผู้ใช้
กล่าวคือ นำคำว่า “ธรรม”ในความหมายที่ชี้เฉพาะว่า
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น กับคำว่า“นิเทศ”
ในความหมายว่า ชี้แจง แสดง จำแนกมารวมกันเพื่อสร้างคำขึ้นใหม่
หากแปลตามรูปศัพท์จะได้ความว่า แสดงธรรม จำแนกธรรม ชี้แจงธรรมคำว่า “ธรรมนิเทศ”
นี้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนำมาใช้เป็นศัพท์เฉพาะในเชิงวิชาการที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาในระดับปริญญาตรีและระดับ.บัณฑิตศึกษาดังกล่าวแล้วข้างต้น
หมายถึง วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับหลักการและวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาการสื่อสารธรรม หากพิจารณาความหมายให้เหมาะสมกับหลักการดำเนินงานด้านการเผยแผ่จึงเข้ากันได้อย่างลงตัวกับความหมายที่ว่า
“การเผยแผ่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น”
หรือมี-ความหมายโดยนัยว่า “การเผยแผ่พระพุทธศาสนา”ฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบความที่จะนำเสนอในหัวข้อต่อ
ๆ ไป ซึ่งกล่าวถึง “ธรรมนิเทศ” ในขอบเขตของเนื้อหาว่าด้วยการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เริ่มตั้งแต่ครั้งพุทธกาลและสมัยหลังพุทธกาลจนถึงการประยุกต์หลักการเผยแผ่ให้เหมาะสมกับศาสตร์สมัยใหม่ในปัจจุบัน
ความสำคัญของธรรมนิเทศ
การศึกษาเพื่อให้ทราบถึงความสำคัญของธรรมนิเทศในพระพุทธศาสนา
มีประเด็นศึกษาทีค่อนข้างจะหลากหลาย
แต่เพื่อให้ได้แนวทางอันเป็นข้อยุติในเบื้องต้น ผู้ศึกษาควรเริ่มต้นพิจารณาจากพระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า
“พุทธจริยา” กิจประจำวันที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนมายุของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า
"พุทธกิจ” และพุทธลีลาในการสอนหรือเทศนาวิธี
แล้วจึงนำไปสู่การสรุปประเด็นเพื่อให้ทราบถึงความสำคัญของธรรมนิเทศเป็นลำดับต่อไป
ดังนี้ (๑) พุทธจริยา
พระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า หรือการบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธเจ้ามี ๓ ประการ คือ ๑.๑)
โลกัตถจริยา พระพุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่โลก
พระพุทธเจ้าทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก คือ
ทรงอาศัยพระมหากรุณาเสด็จไปประกาศพระศาสนาเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนในถิ่นฐานแว่นแคว้นต่างๆ
เป็นอันมาก โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากหรือความสุขส่วนพระองค์
พระองค์ได้ทรงอุทิศเวลาหลังจากตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณถึง ๔๕
พรรษาเพื่อประกาศหลักความจริงอันประเสริฐและหลักความประพฤติที่ถูกต้องดีงามแก่ชาวโลก
ดังเป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้วแก่พุทธบริษัททั้งสี่
และได้ทรงประดิษฐานพระศาสนาไว้เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนภายหลังมาจนทุกวันนี้ ได้เเก่
๑.๒) ญาตัตถจริยา พระพุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่พระญาติตามฐานะ พระพุทธเจ้าทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่พระประยูรญาติ
เช่น ทรงอนุญาตให้พระญาติที่เป็นเดียรถีย์เข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาไม่ต้องอยู่ติดถยปริวาส
๔ เดือนเสียก่อนเหมือนเดียรถีย์อื่น
และเสด็จไปห้ามพระญาติที่วิวาทกันด้วยเรื่องน้ำ เป็นต้น (ติตถิยปริวาส คือ
วิธีอยู่กรรมสำหรับเดียรถีย์ที่ขอบวชในพระพุทธศาสนา กล่าวคือ นักบวชในลัทธิศาสนาอื่น
หากปรารถนาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาจะต้องประพฤติปริวาสก่อน ๔ เดือน
หรือจนกว่าพระสงฆ์พอใจจึงจะอุปสมบทได้ส่วนติตถิยปักกันตกะ คือ
ผู้ที่ไปเข้ารีตเดียรถีย์ทั้งที่เป็นภิกษุจะอุปสมบทอีกไม่ได้)
๑.๓) พุทธัตถจริยา
พระพุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญประโยชน์ตามหน้าที่ของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่สัตว์โลก
โดยฐานะเป็นพระพุทธเจ้า ทรงประดิษฐาน
พระศาสนาให้ยั่งยืนมาตราบเท่าทุกวันนี้ฉะนั้น
พระจริยาวัตรหรือการบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธเจ้าดังกล่าวนั้น มิได้ทรงบำเพ็ญเพื่อผู้ใดผู้หนึ่งเป็นการเฉพาะ
แต่ได้ทรงบำเพ็ญเพื่อชาวโลกทั้งมวลด้วยความมุ่งหมายที่ต้องการให้พระพุทธศาสนาประดิษฐานยั่งยืนตลอดกาล
ความสำคัญของการเผยแผ่ธรรมซึ่งเนื่องด้วยบทที่ ๑ ธรรมนิเทศ
พุทธจริยานั้น
จึงเกิดจากพุทธคุณอันประกอบด้วย พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ
และพระมหากรุณาคุณที่ทรงมีต่อหมู่สัตว์ทั้งมวลโดยแท้
๒) พุทธกิจ กิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ
หรือการงานที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำซึ่งเป็น
กิจประจำวัน
โดยทรงใช้หลักการบริหารเวลาในแต่ละวันออกเป็น ๔ ช่วงๆ ดังนี้
๒.๑) ปพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต
๒.๒) สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม
๒.๓) ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ เวลาค่ำประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ
๒.๔) อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ เวลาเที่ยงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา
๒.๕) ปจฺจุสฺเสว คตกาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ เวลาจวนสว่างทรงตรวจพิจารณาสัตว์ที่สามารถและยังไม่สามารถบรรลุธรรมว่า
ควรจะเสด็จไปโปรดผู้ใด พุทธกิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเป็นประจำในแต่ละวันนี้
มีบาลีสรุปท้ายว่า “เอเต ปญฺจวิเธกิจเจ วิโสเธติ มุนิปุงฺคโว
พระพุทธเจ้าองค์พระมุนีผู้ประเสริฐ ทรงยังกิจ ๕ ประการนี้ให้หมดจด”ความสำคัญของการเผยแผ่ธรรมอันเนื่องด้วยพุทธกิจประจำวันดังกล่าวนี้
ผู้ศึกษาควรนำไปเป็นแบบอย่างของการรู้จักบริหารเวลา
เพื่อใช้เวลาในแต่ละช่วงวันที่ผ่านไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
และควรพิจารณาอยู่เสมอว่าวันคืนล่วงไปล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ความสำคัญของธรรมนิเทศในข้อนี้ยังสามารถพิจารณาได้จากหลักธรรมข้ออื่นๆ
เช่น สัปปุริสธรรม๗ หัวข้อ “กาลัญญตา” ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนดีข้อที่ ๕ คือ
รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร ทำให้ตรงเวลา ทำให้เป็นเวลา ทำให้พอเวลา ทำให้เหมาะเวลา
และทำให้ถูกเวลา ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “บุคคลประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ
ในเวลาใด เวลานั้นย่อมเป็นเช้าที่ดี เที่ยงที่ดี และเย็นที่ดีของผู้นั้น
แล้วแต่กรณี” ๓)พุทธลีลาในการสอนหรือเทศนาวิธี
ได้แก่ ข้อศึกษาอันเนื่องด้วยการสอนของพระพุทธเจ้าในแต่ละครั้งแม้เป็นเพียงธรรมีกถาหรือการพูดคุยสนทนากันทั่วไปซึ่งไม่ใช่คราวที่มีความมุ่งหมายเฉพาะพิเศษก็จะดำเนินไปอย่างสำเร็จผลดี
โดยมีองค์ประกอบที่เป็นคุณลักษณะ ๔ ประการ ดังนี้๓.๑) สันทัสสนา ชี้แจงให้เห็นชัด
คือ จะสอนอย่างไร ก็ชี้แจงจำแนกแยกแยะอธิบายและแสดงเหตุผลให้ชัดเจน
จนผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้งเห็นจริงเห็นจังดังจูงมือให้ไปเห็นกับตา
หรือเป็นการชี้แจงให้เข้าใจชัดเจนมองเป็นเรื่องราวและเหตุผลต่างๆ แจ่มแจ้ง
เหมือนจูงมือไปดูให้เห็นประจักษ์กับตา
เป็นองค์ประกอบอย่างแรกของการสอนที่ดีตามแนวทางพุทธจริยา
๓.๒) สมาทปนา
ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ คือ สิ่งใดควรปฏิบัติหรือหัดทำก็แนะนำหรือบรรยายให้ซาบซึ้งในคุณค่า
มองเห็นความสำคัญที่จะต้องฝึกฝนบำเพ็ญจนใจยอมรับอยากลงมือทำ หรือนำไปปฏิบัติ
เป็นองค์ประกอบอย่างที่สองของการสอนที่ดีตามแนวพุทธจริยา
๓.๓) สมตเตชนา
เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า คือ ปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้นเกิดความอุตสาหะมีกำลังใจแข็งขันมั่นใจที่จะทำให้จงได้ไม่หวั่นระย่อ
ไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวยากเป็นองค์ประกอบที่สามของการสอนที่ดีตามแนวทางพุทธจริยา
๓.๔) สัมปหังสนา
ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง คือ
บำรุงจิตใจให้แช่มชื่นเบิกบานโดยชี้ให้เห็นผลดีหรือคุณประโยชน์ที่จะได้รับและทางที่จะก้าวหน้าบรรลุผลสำเร็จยิ่งขึ้นไป
ทำให้ผู้ฟังมีความหวังและเบิกบานใจ หรือเป็นการทำบรรยากาศให้สนุก สดชื่นแจ่มใส
เบิกบานใจ ทำให้ผู้ฟังมองเห็นผลดีและทางสำเร็จ
เป็นองค์ประกอบอย่างที่สี่ของการสอนที่ดีตามแนวทางพุทธจริยา พุทธลีลาในการสอนหรือเทศนาวิธีทั้งสี่ประการนี้
เป็นไปตามแนวทางของพุทธจริยา คือพระจริยาวัตร หรือการบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธเจ้า
เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน มีคำอธิบายเพิ่มเติมในอรรถกถาว่า
ข้อ ๑
ช่วยปลดเปลื้องความเขลาหรือความมืดมัว
ข้อ ๒ ช่วยปลดเปลื้องความประมาท
ข้อ ๓ ช่วยปลดเปลื้องความอึดคร้าน และ
ข้อ ๔ ช่วยให้การปฏิบัติสัมฤทธิ์ผล
เมื่อได้ศึกษาจากพระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า
“พุทธจริยา” กิจประจำวันที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนมายุของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า
“พุทธกิจ
และพุทธลีลาในการสอนหรือเทศนาวิธีดังกล่าวข้างต้นก็จะช่วยให้ผู้ศึกษาสามารถสรุปความสำคัญของธรรมนิเทศใพระพุทธศาสนา๕
ประการ คือความสำคัญเนื่องด้วยการประกาศพระศาสนา
๒) ความสำคัญเนื่องด้วยการประดิษฐานพระพุทธศาสนา
๓)
ความสำคัญเนื่องด้วยการบำเพ็ญพุทธจริยาเพื่อชาวโลก
๔)
ความสำคัญเนื่องด้วยการให้โอกาสเพื่อการเข้าถึงธรรม
๕)
ความสำคัญเนื่องด้วยการอุทิศเวลาเพื่อส่วนรวม
ความสำคัญของธรรมนิเทศดังกล่าวข้างต้นนี้
มีรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญพอประมวลสรุปได้ดังนี้๑)
ความสำคัญเนื่องด้วยการประกาศพระศาสนา ความสำคัญข้อนี้เริ่มขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว
เป็นอันว่า
ภารกิจส่วนพระองค์ในการค้นคว้าหนทางที่จะทำให้พ้นทุกข์และถึงความบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิงได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว
คงเหลืออยู่แต่เพียงพระกรุณาคุณที่มีต่อสัตว์โลกด้วยมีพระประสงค์จะช่วยเหลือและให้โอกาสเขาเหล่านั้นได้รู้ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้วพระองค์ทรงใช้เวลาพักผ่อนเพื่อทบทวนหลักธรรมอยู่เพียง
๗ สัปดาห์ (ในหนังสือ “ปฐมสมโพธิกถา”นิพนธ์ในสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส
เรียกช่วงเวลานี้ว่า เสวยวิมุตติสุข คือ
ความสุขที่เกิดจากการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง) ทรงดำริถึงความลึกซึ้งแห่งธรรมที่ตรัสรู้แล้วน้อมพระทัยที่จะไม่แสดงธรรมแต่ทรงอาศัยพระมหากรุณาคุณพิจารณาตรวจดูสัตว์โลก
จึงทรงพบว่าบุคคลผู้มีธุลีในดวงตาน้อยมีอยู่
จักเสื่อมถอยปัญญาหากไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม
จากนั้นพุทธกิจในการประกาศพระศาสนาก็ได้เริ่มขึ้นทรงพิจารณาตรวจดูสัตว์โลกก่อนจะประกาศพระศาสนา
โดยใช้หลักการเปรียบเทียบกับดอกบัว ๔ ประเภท ดังนี้
๑) อุคฆฏิตัญญ ได้แก่
บุคคลผู้มีสติปัญญาดีและมีกิเลสเบาบาง เพียงได้ฟังหลักธรรมโดยย่อ
ก็สามารถบรรลุธรรมได้โดยฉับพลัน เปรียบเหมือนดอกบัวที่พ้นน้ำแล้ว
พอถูกแสงอาทิตย์ยามเช้าก็บานทันที
๒) วิปจิตัญญ ได้แก่
บุคคลผู้มีปัญญาและกิเลสปานกลาง
เมื่อได้ฟังหลักธรรมซ้ำๆและฟังคำอธิบายขยายความต่อเนื่อง ก็สามารถบรรลุธรรมได้
เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่เสมอนพร้อมจะบานในวันต่อไป1.ด้ฟังหลักธรรม
๓) เนยยะ ได้แก่
บุคคลผู้มีสติปัญญาน้อยและมีกิเลสหนาแน่น เมื่อได้
บ่อยๆ ได้ผู้แนะนำพร่ำสอนที่ดี
และหมั่นทำความเพียรอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถบรรล
เช่นกัน
เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ รอโอกาสที่จะบานในวันต่อๆ ไป
๔) ปทปรมะ ได้แก่
บุคคลที่มีกิเลสหนาแน่นมาก ไม่รู้จักเหตุและผล ยากที่จะ
สั่งสอน แม้จะได้ฟังหลักธรรมทั้งโดยย่อและโดยละเอียด
หรือหมั่นเพียรพยายามเพียงใด ก็ไม่สามาบรรลุธรรมได้ในปัจจุบัน
เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่งอกขึ้นใหม่ๆ ยังจมอยู่ใต้โคลนตม ซึ่งมักจะเป็นเหยื่อของเต่าและปลา
ต่อเมื่อโอกาสมาถึงก็จะเจริญเติบโตได้เช่นเดียวกับดอกบัวทั้งสามประเทศข้างต้นเมื่อทรงพิจารณาตรวจดูสัตว์โลกแล้ว
ในวันเพ็ญเดือน ๘ (อาสาฬหปุรณมี) พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
โปรดเบญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี
หลังจากแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จบลง ธรรมจักษุได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะว่า
ยํกิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ
นิโรธธมฺมํ
“สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา”ต่อจากนั้น
ท่านโกณฑัญญะ ได้ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เอหิภิกขูติ
ภควา อโวจ สวากขาโต จร พรหมจริยํ สมฺมา
ทุกขสฺส อนฺตกิริยายาติ” แปลความว่า “เธอจงเป็นภิกษ มาเถิด ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว
เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เป็นโดยชอบเถิด”
การอุปสมบทวิธีนี้ เรียกว่า
“เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ปฐมสาวกของพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้วพระรัตนตรัย คือ
พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เกิดขึ้นครบบริบูรณ์ในโลกตั้งแต่นั้นมา
เหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นปฐมกาลแห่งการประกาศและประดิษฐานพระศาสนา ต่อจากนั้น
พระพุทธเจ้าได้พบ "กับยสกุลบุตร ผู้ปรารภเหตุของความขัดข้องวุ่นวายด้วยโลกียวิสัย
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมโปรดยสกุลบุตรกับเพื่อน ๕๔ คน
เมื่อทั้งหมดออกบวชและบรรลุอรหัตตผลแล้ว ทำให้มีพระอรหันตสาวยุคแรก ๖๐ รูป
พอจะเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระสัทธรรมได้จึงทรงส่งไปประกาศพระศาสนาด้วยหลักการเผยแผ่เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมากเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก
แม้พระองค์เองก็จะเสด็จไปที่ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม เพื่อแสดงธรรมเช่นกัน๒)
ความสำคัญเนื่องด้วยการประดิษฐานพระพุทธศาสนา
ความสำคัญข้อนี้สืบเนื่องมาจากพระพุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญประโยชน์ตามหน้าที่ของพระพุทธเจ้า
ซึ่งส่งผลให้เกิดการประดิษฐานพระศาสนายังยืนมาจนทุกวันนี้นับตั้งแต่ตรัสรู้ได้ 4
เดือน พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปที่แคว้นมคธ โปรดชฎิลสามพี่น้องที่คยาสีสะได้สาวกจำนวน
๑,000 รูป ต่อจากนั้น
เสด็จไปที่เมืองราชคฤห์โปรดพระเจ้าพิมพิสารและราชบริพารได้รับถวายพระเวทวันเป็นอารามแห่งแรกใพระพุทศาสนาพระองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ
ทรงได้อัครสาวก คือพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะพร้อมบริวาร ซึ่งออกบวชรวมเป็น
๒๕๐ รูป และเมื่อพระสารีบุตรบรรลุอรหัตตผล ก็พอดีถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ (มาฆปุรณมี)
ในคืนนั้นเองมีจาตุรงคสันนิบาต
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมพระอรหันตสาวก ๑,๒๕๐ รูปในปีที่ ๓
แห่งพุทธกิจ อนาถบิณฑิกเศรษฐีเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ได้ประกาศตนเป็นอุบาสกแล้วสร้างวัดพระเชตวันถวาย ที่เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล
อารามแห่งนี้พระพุทธองค์ทรงใช้เป็นที่ประทับแสดงธรรมมากที่สุด รวม ๑๙ พรรษา ฉะนั้น
นับจากพุทธกิจในช่วงต้นเสร็จสิ้นแล้ว พุทธกิจในพรรษาที่ ๒-๓-๔ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทรงบำเพ็ญประโยชน์เพื่อการประดิษฐานพระพุทธ ๓)
ความสำคัญเนื่องด้วยการบำเพ็ญพุทธจริยาเพื่อชาวโลกความสำคัญข้อนี้พิจารณาจากการบำเพ็ญพุทธกิจตลอดช่วงเวลา
๔๕ พรรษานั้น
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ได้ทรงบำเพ็ญเพื่อชาวโลกทั้งมวล
ด้วยพระมหากรุณาคุณ4) ความสำคัญเนื่องด้วยการให้โอกาสเพื่อการเข้าถึงธรรม
ความสำคัญข้อนี้ผู้ศึกษาสามารถพิจารณาได้จากพระพุทธพจน์ที่ตรัสแก่พระอรหันตสาวก ๖๐
รูป ก่อนส่งไปประกาศพระศาสนา ด้วยทรงย้ำกับสาวกว่า “จงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น
มีความงามในท่ามกลางและมีความงามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์
พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะอันบริสุทธิ์บริบรณ์ครบถ้วน
สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีในตาน้อยมีอยู่
ย่อมเสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรมจักมีผู้รู้ธรรม”การที่ทรงย้ำเรื่องการแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น
มีความงามในท่ามกลางและมีความงามในที่สุด
ก็ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อให้โอกาสแก่บุคคลผู้มีปัญญาได้เรียนรู้และเข้าถึงธรรม
ประเด็นศึกษาในเรื่องนี้พิจารณาได้จากความตอนหนึ่งที่เรียบเรียงไว้ใน
“ปฐมสมโพธิกถา ว่าวันหนึ่ง พระอัสสชิซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนพระเบญจวัคคีย์
ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระศาสนา
ได้จาริกมาถึงกรุงราชคฤห์และเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ขณะนั้น
อุปติสสปริพาชกออกจากอารามของอาจารย์สัญชัยปริพาชกมาด้วยกิจธุระภายนอก
เห็นท่านแสดงออกซึ่งปฏิปทาน่าเลื่อมใสไปทุกอิริยาบถจึงอยากทราบว่าท่านบวชในสำนักของใครผู้ใดเป็นศาสดาของท่าน
จึงเดินตามไปห่างๆ เมื่อพระเถระได้รับอาหารพอสมควรแล้ว
จึงออกไปสู่ที่แห่งหนึ่งเพื่อทำภัตตกิจ อุปติสสะได้เข้าไปจัดอาสนะถวายและเฝ้าปฏิบัติอยู่
หลังเสร็จภัตกิจแล้วจึงกราบเรียนถามด้วยความเคารพว่า“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านก็หมดจดผ่องใส ท่านบวชในสำนักใด
ใครเป็นครูอาจารย์ของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร” พระเถระตอบว่า“ปริพาชกผู้มีอายุ
เราบวชจำเพาะพระมหาสมณศากยบุตร ผู้เสด็จออกบวชจากศากยสกุลพระองค์เป็นศาสดาของเรา
เราชอบใจธรรมของท่าน”“พระศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร”พระเถระคิดว่า
“ธรรมดาปริพาชกทั้งหลาย ย่อมเป็นปฏิปักษ์แก่พระศาสนา
ควรที่เราจะละความลึกซึ้งคัมภีรภาพแห่งพระธรรม” จึงกล่าวว่า “ผู้มีอายุ
เราเป็นผู้บวชใหม่ มาพระธรรมวินัยนี้ไม่นาน
ไม่สามารถจะแสดงธรรมแก่ท่านโดยพิสดารได้เราจักกล่าวแก่ท่านแต่โดยย่อพอรู้ความ “ท่านสมณะ
ท่านจงกล่าวแต่เนื้อความเถิด ข้าพเจ้าต้องการเฉพาะเนื้อความเท่านั้น”พระองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือ สูตรว่าด้วยเรื่องการเคลื่อนธรรมจักรให้หมุนไปที่ใครจะต้านทานให้ถอยกลับไม่ได้
โปรดเบญจวัคคีย์
พระสูตรนี้เป็นประดุจจักรแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิที่ได้ปล่อยไปเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของพระองค์
แต่ “ธรรมจักร” นี้เป็นจักรที่ไม่ได้ก่อความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด เป็นจักรแห่งธรรม
เมื่อแผ่ไปที่ไหนก็จะอำนวยสันติสุขในที่นั้นปฐมเทศนานี้มีใจความสำคัญว่าวิธีการค้นหาทางแก้ทุกข์ที่พระองค์ทรงทดลองมาแล้ว
ได้แก่ วิธีการหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์ที่เรียกว่า “กามสุขัลลิกานุโยค”
และวิธีทรมานกายให้ลำบากที่เรียกว่า“อัตตกิลมถานุโยค”
ทั้งสองวิธีนี้เป็นวิธีที่หย่อนเกินไปและตึงเกินไป
ส่วนวิธีที่จะนำไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้แท้จริงควรเป็นวิธีที่ไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไปที่เรียกว่า
“มัชฌิมาปฏิปทา” คือ การปฏิบัติตามทางสายกลาง ซึ่งเป็นวิถีแห่งการตรัสรู้อันได้แก่
อริยมรรคที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ(ความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง) สัมมาสังกัปปะ
(ความดำริชอบ ความคิดชอบ) สัมมาวาจา(การเจรจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การกระทำชอบ)
สัมมาอาชีวะ (การดำเนินการเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง)สัมมาวายามะ (ความเพียรพยายามชอบ)
สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) และสัมมาสมาธิ
(ความตั้งใจชอบ)พระพุทธเจ้าทรงขยายความต่อไปว่านั้นคือทางแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ๔
ความจริงที่ประเสริฐซึ่งเป็นนัยหนึ่งแห่งปฏิจจสมุปบาท
(การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น
หรือการที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกัน จากนั้น ทรงยกอริยสัจ ๔
ขึ้นแสดงอย่างพิสดาร เมื่อทรงแสดงปฐมเทศนาจบลง
ธรรมจักษุได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นผู้มีอาวุโสที่สุดในกลุ่มเบญจวัคคีย์ในคืนวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ
(อาสาฬหปรณมี) นั้นเอง นับว่าเป็นบุคคลแรกในโลกที่ได้ตรัสรู้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นข้อที่พิสูจน์ได้ว่าพระธรรมอันลึกซึ้งที่ทรงตรัสรู้นั้น
มีคนสามารถรัตามได้ จึงทรงเปล่งอุทานขึ้นว่า “อญญาสิ วต โภ โกณฑัญโญ อญญาสิ วต โภ
โกณฑญโญ”แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ และถือเป็นกำลังใจให้พระพุทธเจ้าทรงอุทิศเวลาเพื่อสั่งสอนธรรมในโอกาสต่อๆ
ไปมากยิ่งขึ้นดังนั้น
พระมหากรุณาคุณอันใหญ่หลวงที่พระพุทธเจ้าทรงมีต่อชาวโลกในเรื่องของการอุทิศเวลาเพื่อส่วนรวมนี้
ได้ส่งผลดีอย่างมหาศาลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวโลก
จะสังเกตได้ว่าพระองค์ทรงเริ่มต้นจากการเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อการศึกษาค้นคว้าทางพ้นทุกข์เป็นเวลาถึง
5 ปี ต่อเมื่อทรงแสดงหลักความจริงที่ทรงค้นพบให้แก่ชาวโลก
บุคคลที่มีปัญญาเมื่อสดับฟังเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถเกิดธรรมจักษุ เข้าถึงธรรมได้ในเวลาไม่นานนัก พระมหากรุณาคุณในข้อนี้นับเป็นการไม่สิ้นเปลืองเวลาในการลองผิดลองถูกอีกต่อไป
:ที่มา หนังสือธรรมนิเทศ ฉบับมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย บทที่๑บางช่วงบางตอน: