ผู้ที่ชอบจับเรื่องราวโยงกันไปด้วยความรู้สึกอารมณ์ของตนเองมักจะเข้าใจอะไรผิดเพราะตัดสินจากทัศนะคติของตนเองบนโลกโซเชียลปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทำไม่ถึงมีการกระทบกระทั่งกันบ่อยทั้งคนใกล้ตัวและคนไกลตัว
เพราะตัดสินจากสิ่งที่ถูกโพสต์ ขณะเวลาและอารมณ์ซึ่งมีทั้งขณะจิตดีและขณะจิตไม่ดี แล้วจับโยงเอาสิ่งที่ฝ่ายหนึ่งโพสต์และอีกฝ่ายหนึ่งโพสต์จากคนใกล้ชิดและคนรอบตัวจนเกิดเรื่องราวความไม่เข้าใจกันแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
โดยขาดการพิจาณาไตร่ตรองให้ดี เราจึงตกเป็นทาสของอารมณ์ของตน แล้วไประบายกับสื่อโซเชียลโดยขาดสติยั้งคิด
บางครั้งบางทีก็อาจจะไปให้ร้ายในสิ่งที่ไม่ชอบใจ แต่พอชอบใจก็ให้สิ่งที่เสมือนว่าดี
จึงเกิดการเข้าใจผิดเพราะคิดไปเองด้วยอคติ รัก โกรธ เกลียด กลัว ฉะนั้นอย่าตัดสินนิสัยของบุคคลจากสื่อ
โดยที่เราไม่เคยรู้จักกับเขาเพียงแค่เราฟังอีกฝ่ายหนึ่งมา เพราะบนโลกโซเชียลนั้นให้ทั้งคุณและให้ทั้งโทษแก่ตนและบุคคลอื่น
เพราะทุกวันนี้ทุกคนก็มีสื่ออยู่ในมือ จะยกย่องคนดีก็ได้หรือจะยกย่องคนเลวก็ได้
หรือจะยกย่องคนที่ทำถูกหรือคนที่ทำผิดก็ได้ จะเหยียบย่ำคนดีหรือคนทำถูกก็ได้
หรือจะซ้ำเติมคนเลวหรือคนที่ทำผิดก็ได้ เพราะจิตใจคนบนโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา <ขณะคิดพิจารณา>
ิิblogspot
วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564
ข้อควรระวัง
วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564
หลักการทางพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนามีหลักการศึกษาอยู่ ๓ ระดับ คือ
๑. ศึกษาจากการฟัง หรืออ่านมา
๒. ศึกษาจากการคิดพิจารณา
๓. ศึกษาจากการปฏิบัติจริง
ในขั้นแรกพุทธศาสนาจะสอนให้ฟังหรือ่านมาก่อน
แล้วนำมาคิดพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แล้วจึงนำความเข้าใจนั้นมาทดลองปฏิบัติ จึงจะได้รับผลจริง เพียงแค่การฟังมาหรืออ่านมานั้นยังไม่มีผลอะไร
แม้ความเข้าใจก็ยังช่วยได้เพียงทำให้ความทุกข์บรรเทาเบาบางลงท่านั้น จะต้องมีการปฏิบัติจริงอย่างถูกต้องสมบูรณ์
จึงจะมีผลเป็นความดับลงของทุกข์จริง
พุทธศาสนาจะสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อตามหลักกาลามสูตร โดยสอนว่า
๑. อย่าเชื่อจาก ฟังตามๆกันมา (หูเบาความเชื่อโดนปราศจากการพิจารณา)
๒. อย่าเชื่อจาก เห็นเขาทำตามๆกันมา (เห็นเขาพูดทำมาก็เชื่อตามเขาเป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญา)
๓. อย่าเชื่อจาก คำบอกเล่า (คำกล่าวที่ไม่เป็นความจริงที่เขียนขึ้นด้วนอคติ)
๔. อย่าเชื่อจาก ตำรา (แต่ไม่ได้ไม่ให้ศึกษาเล่าเรียนให้ศึกษาในตำราเป็นเบื้องต้นก่อน)
๕. อย่าเชื่อจาก เหตุผลตรงๆ (ตรรกะ)
๖. อย่าเชื่อจาก เหตุผลแวดล้อม (นัยยะ)
๗. อย่าเชื่อจาก สามัญสำนึกของเราเอง (ตัดสินด้วยความคิดของตนป็นใหญ่)
๘. อย่าเชื่อจาก มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ (ยึดถือในความเห็นของตน)
๙. อย่าเชื่อจาก ผู้สอนนี้ดูน่าเชื่อถือ (อย่าตัดสินคนแต่ภายนอกหากยังไม่ได้สนทนา)
๑๐. อย่าเชื่อจาก ผู้สอนนี้เป็นครูของเราเอง (แต่ไม่ให้ปรามาสผู้สอน)
เมื่อได้รับคำสอนใดมา ให้นำมาพิจารณาดูก่อน ถ้าเห็นว่ามีโทษ ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่าไม่มีโทษและมีประโยชน์ ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าไม่ได้ผลก็ให้ละทิ้งไป แต่ถ้าได้ผลจึงค่อยเชื่อและรับเอามาปฏิบัติต่อไป
พุทธศาสนามีหลักการเดียวกับวิทยาศาสตร์ คือ
๑. สอนอย่างมีเหตุผล
๒. ศึกษาจากของจริงที่มีอยู่จริง
๓. เชื่อจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
คำสอนทั้งหมดของพุทธศาสนาสรุปอยู่ที่
๑. ละเว้นความชั่วทั้งปวง
๒. ทำความดีให้เต็มเปี่ยม
๓. ทำจิตให้บริสุทธิ์
พุทธศาสนามีคำสอนอยู่ ๒ ระดับ คือ
๑. ระดับศีลธรรม หรือระดับต่ำ
ที่สอนให้ละเว้นความชั่ว และทำความดี โดยเอาไว้สอนคนที่ความรู้น้อย
๒. ระดับสูง ที่สอนให้ทำจิตให้บริสุทธิ์
หรือดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ โดยเอาไว้สอนคนที่มีความรู้
คำสอนที่สำคัญของพุทธศาสนาก็คือ
คำสอนระดับสูง คือ เรื่อง อริยสัจ ๔ อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดับทุกข์ อันได้แก่
๑. ทุกข์
คือเรื่องความทุกข์ของจิตใจมนุษย์ในปัจจุบัน
๒. สมุทัย
คือเรื่องสาเหตุของความทุกข์ทั้งปวง
๓. นิโรธ
คือเรื่องความดับสนิทของความทุกข์ทั้งปวง
๔. มรรค
คือเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ทั้งปวง
ส่วนคำสอนระดับศีลธรรมนั้น
ไม่ใช่คำสอนที่สำคัญของพุทธศาสนา
เพราะศาสนาไหนๆเขาก็มีคำสอนเช่นนี้กันอยู่แล้ว
อีกทั้งคำสอนระดับศีลธรรม
ก็ยังเจือปนอยู่กับเรื่องงมงายที่ปลอมปนเข้ามามากมายในภายหลัง
ซึ่งไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และขัดแย้งกับคำสอนระดับสูงอย่างมาก
ถ้าใครยึดถือในคำสอนระดับศีลธรรม ก็จะไม่เข้าใจคำสอนระดับสูงได้
ดังนั้นคำสอนส่วนใหญ่ของพุทธศาสนา จึงมุ่งเน้นมาที่เรื่องการดับทุกข์นี้เท่านั้น
พุทธศาสนาสอนว่า เมื่อเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนา อย่าเพิ่งสนใจเรื่องเหล่านี้
คือ
๑. เรื่องว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอริยะทั้งหลาย
ว่าจะมีจริงหรือไม่?
๒. เรื่องว่าสมาธิจะมีจริงหรือไม่? หรือทำให้เกิดอะไรที่น่าอัศจรรย์ขึ้นมาได้จริงหรือไม่?
๓. เรื่องว่าเมื่อเราทำสิ่งใดไว้แล้ว
จะต้องได้รับผลจากการกระทำนั้นในอนาคตจริงหรือไม่?
เรื่องที่ไร้สาระทั้งหลายของโลก
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการดับทุกข์
เหตุที่ไม่ให้สนใจเรื่องเหล่านี้ก็เพราะ
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการดับทุกข์เลย
และเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีของจริงมาให้ศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์ ถ้าใครหลงไปศึกษา
ก็จะทำให้เสียเวลาอยู่กับเรื่องเหล่านี้
และอาจเกิดความเข้าใจผิดหรือไขว้เขวขึ้นมาได้
ต่อเมื่อศึกษาตามหลักการของพุทธศาสนาจนเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดสิ้นไปเอง พุทธศาสนาจะสอนเฉพาะเรื่องในปัจจุบันเท่านั้น
ไม่สอนเรื่องหลังจากตายไปแล้ว คือพุทธศาสนาจะสอนให้เราศึกษาชีวิตในปัจจุบัน
โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ จนเกิดความเข้าใจชีวิตอย่างแจ่มแจ้งก่อน
แล้วก็จะเข้าใจเรื่องภายหลังจากความตายได้ด้วยตนเอง โดยไม่เชื่อจากใครๆ การที่จะรู้จักพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแค่การฟังมาหรืออ่านมาเท่านั้น เพราะอาจจะได้รับคำสอนที่ผิดมาก็ได้
จะต้องถึงขั้นมีความ “เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง” เท่านั้น จึงจะเรียกได้ว่ารู้จักพุทธศาสนาอย่างถูกต้องแท้จริง
ซึ่งการที่จะเกิดความเข้าใจพุทธศาสนาอย่างแจ่มแจ้งนั้น
จะต้องศึกษากฎสูงสุดของธรรมชาติ จนเกิดความเข้าใจ
แล้วนำกฎนั้นมาศึกษาร่างกายและจิตใจของเรา จนเกิดความเข้าใจว่า “แท้จริงไม่มีเรา”
จึงจะเรียกว่าเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง พุทธศาสนาจะสอนเรื่องง่ายๆ
พื้นๆ ที่เราทุกคนสามารถศึกษาให้เกิดความเข้าใจได้
และปฏิบัติได้จริงโดยไม่ต้องอาศัยความสามารถพิเศษอะไรเลย ส่วนเรื่องลึกลับไกลตัว
หรือเรื่องยากๆที่เราอาจจะเคยได้ฟังมานั้น เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาในภายหลัง
ซึ่งทำให้ยากแก่การศึกษาหรือศึกษาไมได้เลย และไม่ทำให้เกิดความเข้าใจขึ้นมาได้จริง
มีแต่ทำให้เกิดความลังเลสงสัยยิ่งขึ้น เราจึงไม่ควรสนใจ
นัยแห่งการแสดงธรรม(เทศนานัย) ในคัมภีร์อรรถกถาของมูลปริยายสูตร
มัชฌิมนิกายมูลปัณณาสก์ กล่าวไว้ว่า
เทศนาของพระพุทธเจ้า
แบ่งได้เป็น ๔ อย่าง โดยอาศัยธรรมและบุคคล คือ
๑.ธัมมาธิฏฐานา
ธัมมเทศนา
-การแสดงธรรมมีธรรมเป็นที่ตั้ง
๒.ธัมมาธิฏฐานา
ปุคคลเทศนา
-การแสดงบุคคลมีธรรมเป็นที่ตั้ง
๓.ปุคคลธิฏฐานา
ปุคคลเทศนา
-การแสดงบุคคลมีบุคคลเป็นที่ตั้ง
๔.ปุคคลธิฏฐานา
ธัมมเทศนา
-การแสดงธรรมมีบุคคลเป็นที่ตั้ง
ในบรรดาเทศนา
๔ อย่างนั้น เพื่อนสหธรรมิกพึงทราบว่า
๑.การแสดงธรรมมีธรรมเป็นที่ตั้ง
มีลักษณะเป็นดังนี้คือ ” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนามี ๓ อย่าง ๓ อย่างเป็นไฉน?
๓ อย่าง คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา ” ดังนี้ เป็นต้น
๒.การแสดงบุคคลมีธรรมเป็นที่ตั้ง
มีลักษณะอย่างนี้ คือ ” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษนี้มีธาตุ ๔ มีผัสสายตนะ ๖
มีมโนปวิจาร ๑๘ มีอธิฏฐาน ๔ ” ดังนี้ เป็นต้น
๓.การแสดงบุคคลมีบุคคลเป็นที่ตั้ง
มีลักษณะอย่างนี้ คือ ” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้มีดาษดื่นในโลกนี้ ๓
จำพวกเป็นไฉน? ๓ จำพวก คือ คนตาบอด, คนมีตาข้างเดียว,
และคนมีตา ๒ ตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนตาบอดเป็นไฉน? ฯลฯ
ดังนี้ เป็นต้น
๔.การแสดงธรรมมีบุคคลเป็นที่ตั้ง
มีลักษณะอย่างนี้ คืิอ ” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุคติภัยเป็นไฉน? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาอย่างนี้ ว่า วิบากอันเป็นบาปของการทุจริต
ย่อมมีในภพต่อไป ฯลฯ เขาจึงบริหารตนให้บริสุทธิ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นี้เรียกว่า “ทุคติภัย” ดังนี้ เป็นต้น
เข้าร่วมอบรมช่วงโควิด19 |
ที่มา-ข้อมูลทางพระพุทธศาสนา
